สิวที่กราม: สาเหตุ วิธีรักษา และการป้องกัน
สิวที่กรามคืออะไร? และแตกต่างจากสิวบริเวณอื่นอย่างไร?
สิวที่กรามคือสิวที่ขึ้นเป็นกลุ่มบริเวณแนวขากรรไกรและใบหน้าส่วนล่าง ซึ่งมักพบในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้หญิง และมีความแตกต่างจากสิวบริเวณอื่นอย่างชัดเจน
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างสิวที่กรามและสิวบริเวณอื่น ได้แก่
- ตำแหน่งที่เกิด: สิวในผู้ใหญ่มักเกิดบริเวณ “U-zone” (แนวกรามและใบหน้าส่วนล่าง) ในขณะที่สิวในวัยรุ่นมักเกิดบริเวณ “T-zone” (หน้าผาก จมูก และคาง)
- ลักษณะของสิว: สิวที่กรามมักเป็นสิวอักเสบที่อยู่ลึกใต้ผิวหนัง เช่น สิวซีสต์ หรือสิวหัวช้างที่ไม่มีหัว ซึ่งมักมีอาการเจ็บและทิ้งรอยแผลเป็นได้ง่าย ในขณะที่สิวบริเวณหน้าผากหรือจมูกมักเป็นสิวอุดตันหรือสิวอักเสบตื้นๆ
- สาเหตุหลัก: สิวที่กรามมักเกี่ยวข้องกับความผันผวนของฮอร์โมน ส่วนสิวบริเวณอื่นมักเกิดจากความมันบนใบหน้าโดยรวม
ลักษณะเฉพาะของสิวที่กราม
ลักษณะเฉพาะของสิวที่กรามคือมักจะเป็นสิวอักเสบชนิดลึก เช่น สิวซีสต์หรือสิวหัวช้างที่อยู่ใต้ผิวหนัง ซึ่งมักมีอาการเจ็บเมื่อสัมผัสและไม่มีหัวหนองให้เห็น
ลักษณะเด่นอื่นๆ ของสิวที่กราม ได้แก่:
- ตำแหน่ง: มักเกิดบริเวณแนวกรามและใบหน้าส่วนล่าง (U-zone) ซึ่งเป็นลักษณะของสิวในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในผู้หญิง
- การอักเสบ: สิวที่กรามมักมีการอักเสบที่รุนแรงกว่าสิวบริเวณอื่น ทำให้หายช้าและมีแนวโน้มที่จะทิ้งรอยแผลเป็นหรือรอยดำไว้
- ความสัมพันธ์กับฮอร์โมน: การเกิดสิวบริเวณนี้มักเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนแอนโดรเจนที่สูงขึ้น
การเปรียบเทียบสิวที่กรามกับสิวที่คางและหน้าผาก
สิวที่กรามมักเกิดจากความผันผวนของฮอร์โมนและมีลักษณะเป็นตุ่มอักเสบลึก ในขณะที่สิวบริเวณหน้าผากมักเกี่ยวข้องกับความมันโดยรวมของผิวและมีลักษณะเป็นสิวอุดตันตื้นๆ
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างที่สำคัญระหว่างสิวที่กรามกับสิวที่หน้าผาก:
ลักษณะ | สิวที่กราม (Jawline Acne) | สิวที่หน้าผาก (Forehead Acne) |
---|---|---|
บริเวณที่เกิด | มักเกิดบริเวณ “ยูโซน” (U-zone) คือ กรามและใบหน้าส่วนล่าง พบได้บ่อยในผู้ใหญ่ | มักเกิดบริเวณ “ทีโซน” (T-zone) คือ หน้าผาก จมูก และคาง พบได้บ่อยในวัยรุ่น |
ลักษณะของสิว | มักเป็นสิวอักเสบลึก สิวซีสต์ หรือ “สิวไม่มีหัว” ซึ่งเจ็บ หายช้า และมักทิ้งรอยแผลเป็น | มักเป็นสิวตื้นๆ เช่น สิวอุดตัน (สิวหัวดำ/สิวหัวขาว) หรือตุ่มสิวขนาดเล็ก |
สาเหตุหลัก | ความไม่สมดุลของฮอร์โมน (โดยเฉพาะฮอร์โมนแอนโดรเจน) | ความมันโดยรวมของผิวที่มากเกินไป |
5 สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวที่กราม มีอะไรบ้าง?
5 สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวที่กราม ได้แก่ ความผันผวนของฮอร์โมน, การระคายเคืองทางกายภาพ, การใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันรูขุมขน, ความเครียดและการอดนอน, และสุขอนามัยที่ไม่ดี
สาเหตุเหล่านี้อธิบายได้ดังนี้:
- ความผันผวนของฮอร์โมน: ระดับฮอร์โมนที่ไม่สมดุล โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศชาย (Androgens) ที่สูงขึ้น จะกระตุ้นต่อมไขมันบริเวณกรามให้ผลิตน้ำมันออกมามากเกินไปจนเกิดการอุดตัน
- การระคายเคืองทางกายภาพ (Acne Mechanica): การเสียดสีหรือแรงกดซ้ำๆ บริเวณกราม เช่น การคุยโทรศัพท์โดยแนบกับแก้ม การใส่สายรัดคางหรือหน้ากากอนามัยเป็นเวลานาน สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวได้
- ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันรูขุมขน (Comedogenic Products): ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมที่มีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขนได้ง่าย เมื่อสัมผัสกับบริเวณกรามอาจทำให้เกิดสิวได้
- ความเครียดและการอดนอน: ความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งไปกระตุ้นการผลิตน้ำมันบนใบหน้าให้เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับการพักผ่อนไม่เพียงพอที่ส่งผลต่อความสมดุลของฮอร์โมน
- สุขอนามัยและแบคทีเรีย: การสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ หรือการใช้อุปกรณ์ที่ไม่สะอาด เช่น โทรศัพท์มือถือหรือปลอกหมอน สามารถนำพาแบคทีเรียและสิ่งสกปรกมาสู่ผิวบริเวณกรามและทำให้เกิดสิวได้
สาเหตุที่ 1: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย
ระดับฮอร์โมนที่ไม่สม่ำเสมอเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดสิวบริเวณแนวกราม โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มักจะเกิดสิวเห่อขึ้นก่อนมีประจำเดือน ระหว่างตั้งครรภ์ หรือเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากระดับฮอร์โมนเพศชาย (แอนโดรเจน) ที่สูงขึ้น ซึ่งจะไปกระตุ้นต่อมไขมันบริเวณแนวกรามให้ผลิตน้ำมัน (ซีบัม) ออกมามากเกินไปจนเกิดการอุดตันในรูขุมขน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) ซึ่งทำให้เกิดสิวเรื้อรังบริเวณแนวกรามจากการมีฮอร์โมนแอนโดรเจนเกินปกติ
สาเหตุที่ 2: การระคายเคืองจากหน้ากากอนามัยและสิ่งของที่สัมผัสใบหน้า
การระคายเคืองทางกายภาพ (acne mechanica) จากการเสียดสีหรือแรงกดซ้ำๆ บริเวณแนวกราม เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของการเกิดสิว การกระทำเหล่านี้ เช่น การถือโทรศัพท์แนบแก้ม การใช้มือเท้าคาง การสวมสายรัดคางหรือหมวกกันน็อกที่แน่นเกินไป รวมถึงการสวมหน้ากากอนามัย จะดักจับเหงื่อและความร้อนไว้พร้อมกับเสียดสีผิวหนัง ทำให้รูขุมขนอุดตัน ปรากฏการณ์ “สิวจากหน้ากาก” (maskne) ในช่วงการระบาดของโควิด-19 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของสิวบริเวณแนวกรามที่เกิดจากการเสียดสีของหน้ากากอนามัยเป็นเวลานาน
สาเหตุที่ 3: ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเส้นผมที่ก่อให้เกิดการอุดตัน
ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมที่อุดตันรูขุมขน (ส่วนผสมที่ก่อให้เกิดสิว) เป็นสาเหตุของการเกิดสิวบริเวณแนวกราม
ผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อหนัก เช่น รองพื้นหนาๆ ออยล์บำรุงผม หรือโพเมดที่มีส่วนผสมของแว็กซ์ สามารถไหลมาโดนบริเวณแนวกรามและทำให้เกิดสิวที่เกิดจากเครื่องสำอาง (acne cosmetica) ได้ ซึ่งมักมีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ สีเนื้อหรือสิวหัวขาวบริเวณแก้ม คาง หรือแนวกราม เพื่อป้องกันปัญหานี้ แพทย์ผิวหนังแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน) และล้างเครื่องสำอางออกให้หมดทุกคืน
สาเหตุที่ 4: ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ
ความเครียดในระดับสูงสามารถทำให้สิวที่แนวกรามแย่ลงได้ โดยการรบกวนสมดุลของฮอร์โมน
ความเครียดจะกระตุ้นการหลั่งของคอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) ซึ่งจะไปเพิ่มการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้ผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นและเกิดการอักเสบในผิวหนัง ในทำนองเดียวกัน การนอนหลับไม่เพียงพอก็จะเพิ่มระดับฮอร์โมนความเครียดและขัดขวางการซ่อมแซมผิวหนัง นักเรียนที่รายงานว่ามีความเครียดสูงหรือนอนหลับไม่ดีมักจะสังเกตเห็นว่าสิวเห่อบ่อยขึ้นหรือรุนแรงขึ้น
สาเหตุที่ 5: สุขอนามัยและพฤติกรรมการสัมผัสใบหน้า
สุขอนามัยที่ไม่ดีและการสัมผัสใบหน้าบ่อยครั้ง สามารถนำแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวมาสู่บริเวณแนวกรามได้
การกระทำเหล่านี้จะนำแบคทีเรียและสิ่งสกปรกมาสู่ผิวหนัง ตัวอย่างเช่น การใช้โทรศัพท์มือถือที่สกปรกแนบกับกราม หรือการใช้ปลอกหมอน ผ้าพันคอ และสายรัดคางที่ไม่สะอาด ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียและน้ำมันที่ก่อให้เกิดสิวได้
วิธีรักษาสิวที่กรามให้หายขาดและปลอดภัยทำได้อย่างไร?
วิธีรักษาสิวที่กรามให้หายขาดและปลอดภัยที่สุดคือ การใช้ยาตามใบสั่งแพทย์ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนัง
แพทย์จะประเมินความรุนแรงและสาเหตุของสิวเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัย ซึ่งอาจรวมถึง:
- ยารับประทาน: สำหรับสิวที่รุนแรงหรือดื้อยา แพทย์อาจสั่งยาปฏิชีวนะเพื่อลดการอักเสบ, ยาไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) ซึ่งสามารถรักษาสิวให้หายขาดหรือทุเลาลงในระยะยาวได้ หรือยาคุมกำเนิดและยาสไปโรโนแลคโตน (Spironolactone) สำหรับผู้หญิงที่มีปัญหาสิวจากฮอร์โมน
- ยาทาเฉพาะที่: แพทย์อาจสั่งยาทาในกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) ที่มีความเข้มข้นสูงกว่ายาที่หาซื้อได้เอง เพื่อช่วยป้องกันการอุดตันของรูขุมขน
- หัตถการในคลินิก: เช่น การฉีดสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบของสิวซีสต์ขนาดใหญ่ การทำเลเซอร์ หรือการลอกผิวด้วยสารเคมีเพื่อช่วยให้สิวดีขึ้นเร็วและลดรอยสิว
การดูแลและรักษาสิวที่กรามด้วยตนเองที่บ้าน
การดูแลรักษาสิวที่กรามด้วยตนเองที่บ้านสามารถทำได้โดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์เฉพาะที่ การใช้ยาแต้มสิวเฉพาะจุด และการใช้แผ่นแปะสิว ซึ่งควรใช้อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาอย่างน้อย 8-12 สัปดาห์จึงจะเห็นผล
วิธีการดูแลรักษาสิวที่กรามด้วยตนเอง มีดังนี้:
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์:
- Salicylic acid (กรดซาลิไซลิก): ช่วยผลัดเซลล์ผิวและทำความสะอาดรูขุมขนเพื่อลดสิวอุดตัน
- Benzoyl peroxide (เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์): ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย C. acnes และลดการอักเสบ
- Retinoids (เรตินอยด์): เช่น Adapalene ช่วยป้องกันการอุดตันของรูขุมขนใหม่ๆ
- ใช้ยาแต้มสิวเฉพาะจุด: สำหรับสิวอักเสบที่ขึ้นมาเป็นครั้งคราว สามารถใช้เจลแต้มสิวที่มีส่วนผสมเข้มข้น เช่น กรดซาลิไซลิก หรือเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ เพื่อช่วยให้สิวยุบเร็วขึ้น
- ใช้แผ่นแปะสิว (Pimple patches): แผ่นแปะไฮโดรคอลลอยด์ช่วยดูดซับของเหลวจากสิวและป้องกันการสัมผัสหรือแกะสิว ซึ่งช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น
- ใช้แชมพูรักษาสิว (สำหรับบางกรณี): หากสิวมีลักษณะคล้ายสิวผดที่เกิดจากเชื้อรา (Malassezia folliculitis) การใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของคีโตโคนาโซล (ketoconazole) หรือซิงค์ ไพริไธโอน (zinc pyrithione) มาล้างบริเวณกรามสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งอาจช่วยได้
อย่างไรก็ตาม หากสิวมีลักษณะเป็นก้อนไตแข็งเจ็บใต้ผิวหนัง (blind pimples) หรือการรักษาด้วยตนเองไม่ดีขึ้นใน 6-8 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดแบบใดสำหรับสิวที่กราม?
สำหรับสิวที่กราม ควรเลือกใช้ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน และล้างหน้าวันละสองครั้งเพื่อขจัดสิ่งสกปรกและเครื่องสำอาง แต่ควรหลีกเลี่ยงการล้างบ่อยเกินไปหรือการขัดถูที่รุนแรง
แพทย์ผิวหนังมักแนะนำผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ เช่น คลีนเซอร์ที่มีกรดซาลิไซลิก 2% เพื่อช่วยทำความสะอาดรูขุมขน นอกจากนี้ หากสงสัยว่าสิวเกิดจากเชื้อรา (Malassezia folliculitis) การใช้แชมพูขจัดรังแคที่มีส่วนผสมของคีโตโคนาโซล (ketoconazole) หรือซิงค์ ไพริไธโอน (zinc pyrithione) เป็นคลีนเซอร์สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็อาจช่วยได้เช่นกัน
การใช้ยาแต้มสิวเฉพาะจุดมีประสิทธิภาพแค่ไหน?
ยาแต้มสิวเฉพาะจุดมีประสิทธิภาพในการช่วยให้สิวอักเสบเม็ดเล็กๆ หรือสิวที่อยู่บนผิวชั้นบนยุบเร็วขึ้น แต่โดยทั่วไปแล้วจะไม่ได้ผลกับสิวซีสต์หรือสิวหัวช้างที่อยู่ลึกใต้ผิวหนัง
ยาแต้มสิวทำงานโดยใช้ส่วนผสมเข้มข้น เช่น กรดซาลิไซลิก เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ หรือซัลเฟอร์ เพื่อทำให้สิวแห้งและลดการอักเสบเฉพาะที่ นอกจากนี้ยังมีแผ่นแปะสิวไฮโดรคอลลอยด์ที่ช่วยดูดซับของเหลวจากสิวและป้องกันการสัมผัสหรือการแกะสิว ทำให้สิวหายเร็วขึ้น
แชมพูลดสิวที่กรอบหน้าช่วยได้จริงหรือไม่?
แชมพูยาอาจช่วยลดสิวที่กรอบหน้าได้ แต่จะได้ผลเฉพาะในกรณีที่สิวมีสาเหตุมาจากเชื้อรา (Pityrosporum folliculitis) ไม่ใช่สิวอุดตันหรือสิวอักเสบทั่วไป
แชมพูที่มีส่วนผสมของสารต้านเชื้อรา เช่น คีโตโคนาโซล (ketoconazole) หรือซิงค์ ไพริไธโอน (zinc pyrithione) สามารถช่วยลดการเจริญเติบโตของเชื้อยีสต์ Malassezia ซึ่งเป็นสาเหตุของสิวเชื้อราได้ อย่างไรก็ตาม วิธีนี้จะไม่ได้ผลกับสิวที่เกิดจากฮอร์โมนหรือแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของสิวที่กรอบหน้า
การรักษาสิวที่กรามโดยแพทย์ผิวหนัง
การรักษาสิวที่กรามโดยแพทย์ผิวหนังประกอบด้วยการใช้ยาตามใบสั่งแพทย์และหัตถการในคลินิก ซึ่งมักจะใช้หลายวิธีร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
แพทย์อาจพิจารณาจ่ายยาตามความรุนแรงและสาเหตุของสิว ได้แก่:
- ยาทาเฉพาะที่: เช่น ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Tretinoin, Adapalene) เพื่อป้องกันการอุดตัน และยาปฏิชีวนะหรือเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) เพื่อลดเชื้อแบคทีเรีย
- ยารับประทาน: สำหรับสิวอักเสบปานกลางถึงรุนแรง อาจใช้ยาปฏิชีวนะ (Doxycycline) หรือยาปรับฮอร์โมน (Spironolactone, ยาคุมกำเนิด) ในผู้หญิง และยาไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) สำหรับเคสที่รุนแรงและดื้อต่อการรักษาอื่น
นอกจากนี้ยังมีหัตถการในคลินิกที่สามารถทำร่วมด้วย เช่น:
- การฉีดสเตียรอยด์: เพื่อลดการอักเสบของสิวซีสต์หรือสิวหัวช้างให้ยุบลงอย่างรวดเร็ว
- การบำบัดด้วยแสงและเลเซอร์: เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการทำงานของต่อมไขมัน
- การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels): เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตัน และรอยสิว
เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาสิวที่กราม?
ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเมื่อการรักษาสิวที่กรามด้วยตัวเองไม่ดีขึ้นหลังจากผ่านไป 6-8 สัปดาห์ หรือเมื่อสิวมีความรุนแรงตั้งแต่แรก
สัญญาณอื่น ๆ ที่บ่งชี้ว่าควรไปพบแพทย์ ได้แก่:
- มีสิวอักเสบลึก เป็นไตแข็ง หรือเป็นซีสต์ใต้ผิวหนังที่เจ็บปวด
- สิวเริ่มทิ้งรอยแผลเป็นหรือรอยดำถาวร
- มีอาการอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนร่วมด้วย เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือมีขนขึ้นผิดปกติในผู้หญิง
- สิวส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ ทำให้เกิดความเครียดหรือขาดความมั่นใจ
ภาพรวมการรักษาด้วยยาและเลเซอร์สำหรับสิวที่กราม
การรักษาสิวที่กรามโดยแพทย์ผิวหนัง ครอบคลุมการใช้ยาทา ยารับประทาน และหัตถการในคลินิก เช่น การฉีดสิวและการใช้เลเซอร์ เพื่อจัดการกับสิวอักเสบ สิวอุดตัน และรอยแผลเป็น
แพทย์ผิวหนังอาจสั่งยาหรือทำหัตถการดังต่อไปนี้:
- ยารักษา:
- ยาทา: เช่น กลุ่มเรตินอยด์ (Tretinoin) เพื่อป้องกันการอุดตัน และยาฆ่าเชื้อ (Benzoyl Peroxide, Clindamycin) เพื่อลดแบคทีเรีย
- ยารับประทาน: เช่น ยาปฏิชีวนะ (Doxycycline) เพื่อลดการอักเสบ, ยาปรับฮอร์โมน (ยาคุมกำเนิด, Spironolactone) สำหรับผู้หญิงที่มีปัญหาสิวจากฮอร์โมน และ Isotretinoin (Accutane) สำหรับกรณีที่รุนแรงมาก
- เลเซอร์และหัตถการ:
- การฉีดสเตียรอยด์: ใช้ฉีดเข้าที่สิวอักเสบเม็ดใหญ่หรือซีสต์โดยตรงเพื่อลดการอักเสบและทำให้สิวยุบเร็วขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง
- เลเซอร์และแสงบำบัด: เช่น แสงบำบัด (Photodynamic Therapy) เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดขนาดต่อมไขมัน หรือเลเซอร์ชนิดต่างๆ (Pulsed-dye laser) เพื่อลดรอยแดง
- การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี: ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำความสะอาดรูขุมขน และลดการอักเสบของสิว
สิวที่กรามสามารถกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้หรือไม่?
ใช่ สิวที่กรามสามารถกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้ โดยมักมีลักษณะเป็นสิวที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายเดือนหรือหลายปี หรือกลับมาเป็นซ้ำๆ บ่อยครั้งจนถึงวัยผู้ใหญ่ และอาจดื้อต่อการรักษาทั่วไป
สิวที่กรามเรื้อรังมักมีลักษณะเป็นตุ่มอักเสบ (ตุ่มแดงเจ็บ) หรือซีสต์ใต้ผิวหนัง และอาจกำเริบตามรอบเดือนในผู้หญิง ซึ่งแตกต่างจากสิวที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวแล้วหายไปเอง
สัญญาณเตือนของสิวที่กรามแบบเรื้อรัง
สัญญาณเตือนของสิวที่กรามแบบเรื้อรังคือ การมีสิวขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี และมักดื้อต่อการรักษาทั่วไป
ลักษณะเฉพาะของสิวที่กรามแบบเรื้อรัง ได้แก่:
- มีสิวใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ ในขณะที่สิวเก่ากำลังจะหาย ทำให้มีสิวอยู่บนใบหน้าเกือบตลอดเวลา
- สิวมักมีลักษณะอักเสบ เป็นตุ่มแดงและเจ็บ
- อาจเกิดรอยดำหลังการอักเสบหรือหลุมสิวจากการอักเสบซ้ำๆ
- สิวอาจเห่อขึ้นเป็นรอบๆ เช่น ในช่วงก่อนมีประจำเดือน
ความแตกต่างระหว่างสิวอักเสบและสิวอุดตันที่กรามคืออะไร?
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างสิวอักเสบและสิวอุดตันที่กรามคือ สิวอักเสบจะมีลักษณะเป็นตุ่มแดง นูน และเจ็บ ในขณะที่สิวอุดตันเป็นเพียงรูขุมขนที่อุดตันและไม่มีการอักเสบ
- สิวอักเสบ (Inflammatory Acne): ประกอบด้วยตุ่มแดง ตุ่มหนอง หรือซีสต์และตุ่มนูนลึกใต้ผิวหนัง มักทิ้งรอยหรือแผลเป็นไว้ และพบได้บ่อยในสิวฮอร์โมนของผู้ใหญ่
- สิวอุดตัน (Comedonal Acne): ประกอบด้วยสิวหัวขาวและสิวหัวดำซึ่งเป็นรูขุมขนที่อุดตันแต่ไม่แดง มักเกิดร่วมกับสภาพผิวที่มันเยิ้ม
เราจะป้องกันการเกิดสิวที่กรามซ้ำได้อย่างไร?
การป้องกันการเกิดสิวที่กรามซ้ำ สามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและดูแลผิวอย่างเหมาะสม ซึ่งประกอบด้วยกลยุทธ์หลักๆ ดังนี้
- การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต:
- อาหาร: รับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืชเต็มเมล็ด พร้อมทั้งลดการบริโภคน้ำตาลและผลิตภัณฑ์จากนม
- ความเครียดและการนอนหลับ: จัดการความเครียดด้วยการออกกำลังกายหรือทำสมาธิ และนอนหลับให้เพียงพอ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อรักษาสมดุลของฮอร์โมน
- สุขอนามัย: ทำความสะอาดสิ่งของที่สัมผัสกับใบหน้าเป็นประจำ เช่น โทรศัพท์มือถือ ปลอกหมอน และสายรัดคาง รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสบริเวณกราม
- แนวทางการดูแลผิว:
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน) หรือ “oil-free” (ปราศจากน้ำมัน)
- ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน: ล้างหน้าวันละสองครั้งด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน หลีกเลี่ยงการขัดถูผิวแรงๆ เพราะอาจกระตุ้นให้ผลิตน้ำมันมากขึ้น
- รักษาความสะอาดของอุปกรณ์: ทำความสะอาดแปรงแต่งหน้าเป็นประจำเพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรีย
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อป้องกันสิวที่กราม
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อป้องกันสิวที่กรามสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนอาหาร การลดความเครียดและการนอนหลับให้เพียงพอ รวมถึงการดูแลสุขอนามัย ซึ่งการปรับเปลี่ยนเหล่านี้จะช่วยลดปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดสิวได้
พฤติกรรมที่แนะนำให้ปรับเปลี่ยนมีดังนี้:
- การปรับเปลี่ยนอาหาร: แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืชไม่ขัดสี และลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูงและผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งอาจกระตุ้นการผลิตไขมันบนใบหน้า
- การลดความเครียดและการนอนหลับ: การจัดการความเครียดด้วยวิธีต่างๆ เช่น การออกกำลังกายหรือการทำสมาธิ และการนอนหลับให้เพียงพอ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน จะช่วยควบคุมระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียดที่กระตุ้นให้เกิดสิวได้
- การดูแลสุขอนามัยและอุปกรณ์: ควรทำความสะอาดสิ่งของที่สัมผัสกับใบหน้าเป็นประจำ เช่น หน้าจอโทรศัพท์มือถือ ปลอกหมอน (เปลี่ยน 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์) และสายรัดคางของหมวกกันน็อก นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสหรือเท้าคางเพื่อลดการเสียดสีและการสะสมของแบคทีเรีย
การเลือกสกินแคร์เพื่อป้องกันการเกิดสิวที่กราม
การเลือกสกินแคร์เพื่อป้องกันสิวที่กรามคือ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic)
เพื่อป้องกันสิวที่กราม ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลผิวต่อไปนี้:
- เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม: มองหาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอางที่มีฉลากว่า “non-comedogenic,” “oil-free,” หรือ “won’t clog pores” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน) โดยควรเลือกสูตรที่เป็นเนื้อเจลหรือแบบน้ำแทนเนื้อครีมหนักๆ
- ทำความสะอาดอย่างถูกวิธี: ล้างหน้าวันละสองครั้งด้วยคลีนเซอร์ที่อ่อนโยน หลีกเลี่ยงการขัดถูผิวแรงเกินไป และต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมดจดทุกคืน
- รักษาความสะอาดอุปกรณ์: ควรล้างแปรงและฟองน้ำแต่งหน้าทุกสัปดาห์เพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรียที่อาจก่อให้เกิดสิวได้
สิวที่กรามในผู้หญิงและผู้ชายเกิดจากสาเหตุเดียวกันหรือไม่?
สิวที่กรามในผู้หญิงและผู้ชายมีทั้งสาเหตุที่เหมือนและแตกต่างกัน โดยมีฮอร์โมนเป็นปัจจัยร่วมที่สำคัญ แต่ก็มีปัจจัยกระตุ้นเฉพาะเพศที่ต่างกันออกไป
- สาเหตุร่วม: ฮอร์โมนแอนโดรเจน (ฮอร์โมนเพศชาย) ที่สูงขึ้นจะกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของสิวที่กรามได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย
- ปัจจัยเฉพาะในผู้หญิง:
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนตามรอบเดือน, การตั้งครรภ์, การเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน
- ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)
- การเริ่มหรือหยุดยาคุมกำเนิด
- ปัจจัยเฉพาะในผู้ชาย:
- การระคายเคืองจากการโกนหนวด ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบของรูขุมขน (folliculitis)
- การใช้ฮอร์โมนทดแทนเทสโทสเตอโรน หรือสเตียรอยด์
- การไว้หนวดเคราที่อาจกักเก็บน้ำมันและแบคทีเรียไว้ที่ผิวหนัง
สาเหตุของสิวที่กรามที่พบบ่อยในผู้หญิง
สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของสิวที่กรามในผู้หญิงคือ ความผันผวนของฮอร์โมน ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับภาวะต่างๆ ดังนี้
- กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS): ภาวะนี้ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศชาย (แอนโดรเจน) มากเกินไป ซึ่งกระตุ้นให้เกิดสิวบริเวณกราม
- การเปลี่ยนแปลงในช่วงวัยหมดประจำเดือน: ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงในช่วงวัยหมดประจำเดือนและก่อนหมดประจำเดือน (Perimenopause) อาจทำให้เกิดสิวขึ้นใหม่บริเวณกรามได้
- การตั้งครรภ์: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในระหว่างตั้งครรภ์เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่พบบ่อย
- ยาคุมกำเนิด: การเริ่มหรือหยุดใช้ยาคุมกำเนิดสามารถรบกวนสมดุลของฮอร์โมนและทำให้เกิดสิวได้
สาเหตุของสิวที่กรามที่พบบ่อยในผู้ชาย
สาเหตุหลักของสิวที่กรามในผู้ชายเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนและการโกนหนวด โดยปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้เกิดสิวได้ดังนี้
- ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน: โดยธรรมชาติแล้วผู้ชายมีระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนสูง ซึ่งกระตุ้นการผลิตน้ำมัน (ซีบัม) มากเกินไป นอกจากนี้ การใช้ยาเทสโทสเตอโรนทดแทนหรือสเตียรอยด์ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวหัวช้างบริเวณกรามได้
- การโกนหนวด: การโกนหนวดบ่อยครั้งอาจทำให้รูขุมขนระคายเคืองและอักเสบได้ อีกทั้งเทคนิคการโกนที่ไม่เหมาะสมหรือการใช้ใบมีดทื่ออาจทำให้เกิดตุ่มหนองและขนคุด (razor bumps)
- การไว้หนวดเครา: หนวดเคราที่ไม่สะอาดสามารถกักเก็บน้ำมันและแบคทีเรียไว้บนผิวหนังบริเวณกราม ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวที่กราม
สิวที่กรามแบบไม่มีหัวเกิดจากอะไร?
สิวที่กรามแบบไม่มีหัว (Blind Pimples) เกิดจากการอุดตันลึกภายในรูขุมขนด้วยน้ำมัน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และแบคทีเรีย ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการอักเสบขนาดใหญ่ใต้ผิวหนังโดยไม่มีหัวหนองปรากฏให้เห็นบนพื้นผิว
สิวประเภทนี้มักเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ทำให้เกิดการผลิตไขมัน (sebum) มากเกินไปอย่างกะทันหัน และมักพบบ่อยในบริเวณแนวกรามเนื่องจากเป็นบริเวณที่มีผิวหนาและมีต่อมไขมันหนาแน่น
สิวที่กรามและคอมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร?
สิวที่กรามและคอมักเกิดขึ้นร่วมกัน เนื่องจากมีตำแหน่งที่อยู่ใกล้กันและมีสาเหตุการเกิดร่วมกันหลายอย่าง
ความสัมพันธ์ระหว่างสิวที่กรามและคอมีดังนี้:
- การกระจายตัวที่คาบเกี่ยวกัน: สิวในผู้ใหญ่เพศหญิงมักจะปรากฏในรูปแบบ “หน้ากากอนามัย” ซึ่งครอบคลุมบริเวณแนวกราม คาง และลำคอส่วนบน
- สาเหตุจากฮอร์โมน: ผิวหนังบริเวณกรามและลำคอส่วนบนมีต่อมไขมันที่ไวต่อฮอร์โมนแอนโดรเจนเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงจึงมักเกิดสิวขึ้นพร้อมกันทั้งสองบริเวณ ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของสิวฮอร์โมน
- ปัจจัยทางกายภาพ: การเสียดสีจากสิ่งของต่างๆ เช่น สายรัดคางของหมวกกันน็อก ปกเสื้อคอเต่า หรือการโกนหนวด สามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองและสิวได้ทั้งบริเวณกรามและลำคอ