สิวรอบปาก: สาเหตุ วิธีรักษา และวิธีป้องกันที่ถูกต้อง
สิวรอบปากคืออะไร และมีลักษณะอย่างไร?
สิวรอบปาก (Perioral acne) คือการเกิดสิวที่กระจุกตัวอยู่บริเวณรอบปากและคาง โดยมีลักษณะเป็นสิวประเภทต่างๆ ที่พบได้ทั่วไป เช่น สิวอุดตันและสิวอักเสบ ซึ่งบริเวณดังกล่าวอาจมีอาการแดงและเจ็บเมื่อสัมผัส
ลักษณะสำคัญของสิวรอบปาก ได้แก่:
- สิวอุดตัน: มีทั้งสิวหัวดำ (open comedones) และสิวหัวขาว (closed comedones)
- สิวอักเสบ: มีลักษณะเป็นตุ่มแดง (papules) และตุ่มหนอง (pustules)
- บริเวณที่เกิด: สิวจะขึ้นหนาแน่นรอบปาก และอาจลามไปถึงคางหรือแนวกรามได้
ประเภทของสิวที่พบบริเวณรอบปาก
ประเภทของสิวที่พบบริเวณรอบปากโดยทั่วไปคือสิวอุดตัน ตุ่มแดงอักเสบ และตุ่มหนอง
สิวที่พบบ่อยบริเวณรอบปากมีลักษณะดังนี้:
- สิวอุดตัน (Comedones): ได้แก่ สิวหัวดำและสิวหัวขาว
- ตุ่มแดงอักเสบ (Papules): ตุ่มแดงที่อาจมีอาการเจ็บเมื่อสัมผัส
- ตุ่มหนอง (Pustules): ตุ่มนูนสีขาวที่เต็มไปด้วยหนอง
- สิวซีสต์หรือสิวหัวช้าง (Cystic nodules): พบได้ไม่บ่อย แต่สามารถเกิดขึ้นได้ในกรณีที่รุนแรง
อาการร่วมที่อาจเกิดขึ้นกับสิวรอบปาก
อาการร่วมที่อาจเกิดขึ้นกับสิวรอบปากคือรอยแดง ความเจ็บปวดเมื่อสัมผัส และความรู้สึกไวต่อสิ่งกระตุ้น บริเวณที่เป็นสิวมักจะดูแดงและอักเสบ
5 สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวรอบปาก
สาเหตุจากปัจจัยภายใน: ฮอร์โมนและความเครียด
ความผันผวนของฮอร์โมนและความเครียดเป็นสาเหตุภายในที่สำคัญของสิวรอบปาก เนื่องจากทั้งสองปัจจัยนี้กระตุ้นการผลิตน้ำมันและการอักเสบของผิวหนัง
- ฮอร์โมน: การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนแอนโดรเจน (ฮอร์โมนเพศชาย) จะกระตุ้นการผลิตไขมัน (sebum) มากเกินไป ทำให้เกิดสิวอุดตันบริเวณรอบปากและคาง ซึ่งมักพบในผู้หญิงช่วงมีประจำเดือน ตั้งครรภ์ หรือมีภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)
- ความเครียด: ความเครียดเรื้อรังจะเพิ่มระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้นและเพิ่มการอักเสบ ทำให้สิวที่เป็นอยู่แย่ลงได้
สิวรอบปากในผู้หญิงและผู้ชายแตกต่างกันหรือไม่?
ใช่ สิวรอบปากพบได้บ่อยในผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางฮอร์โมน
ในผู้หญิง สิวรอบปากมักมีความเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ช่วงมีประจำเดือน การตั้งครรภ์ หรือภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) ซึ่งมักเรียกว่า “สิวฮอร์โมน” ในทางกลับกัน สิวรอบปากในผู้ชายที่มีสาเหตุจากฮอร์โมนนั้นพบได้น้อยกว่า
ความสัมพันธ์ระหว่างประจำเดือนกับการเกิดสิวรอบปาก
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงรอบเดือนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสิวรอบปากในผู้หญิง
การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนในช่วงก่อนมีประจำเดือน สามารถกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายให้เด่นขึ้น ฮอร์โมนแอนโดรเจนนี้จะไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมัน (ซีบัม) ออกมามากกว่าปกติ ทำให้เกิดการอุดตันและสิวอักเสบบริเวณรอบปาก คาง และแนวกรามได้ง่ายขึ้น ซึ่งสิวประเภทนี้มักถูกเรียกว่า “สิวฮอร์โมน” (hormonal acne) และพบได้บ่อยในผู้หญิงวัยผู้ใหญ่
สาเหตุจากปัจจัยภายนอก: การระคายเคืองและสุขอนามัย
สาเหตุภายนอกของสิวรอบปากที่เกี่ยวข้องกับการระคายเคืองและสุขอนามัย ได้แก่ การเสียดสีจากหน้ากากอนามัย การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง และพฤติกรรมด้านสุขอนามัยที่ไม่เหมาะสม
ปัจจัยเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวรอบปากได้จากสาเหตุต่อไปนี้
- การเสียดสีและระคายเคือง:
- หน้ากากอนามัย (Maskne): การใส่หน้ากากเป็นเวลานานสร้างสภาพแวดล้อมที่อุ่นและชื้น ร่วมกับการเสียดสีที่ดักจับเหงื่อและน้ำมัน ทำให้รูขุมขนระคายเคืองและอุดตัน
- ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง: ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์หรือสารโซเดียมลอริลซัลเฟต (SLS) รวมถึงลิปบาล์มเนื้อหนักหรือเครื่องสำอางที่มีน้ำมันมากเกินไป สามารถระคายเคืองผิวและอุดตันรูขุมขนบริเวณรอบปากได้
- การเสียดสีทางกายภาพ: การสัมผัสหรือเสียดสีซ้ำๆ จากวัตถุต่างๆ เช่น สายรัดคางของหมวกกันน็อก การเล่นเครื่องดนตรีที่ต้องค้ำคาง (เช่น ไวโอลิน) หรือการถือโทรศัพท์แนบกับใบหน้าเป็นเวลานาน
- สุขอนามัยและพฤติกรรมประจำวัน:
- การสัมผัสใบหน้า: การใช้มือเท้าคางหรือสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ สามารถนำพาแบคทีเรียและสิ่งสกปรกมาสู่ผิวได้
- ของใช้ที่ไม่สะอาด: การไม่เปลี่ยนปลอกหมอน การไม่ทำความสะอาดหน้าจอโทรศัพท์ หรือการใช้แปรงแต่งหน้าที่สกปรก ล้วนเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว
- การโกนหนวด: การใช้มีดโกนที่ไม่คมหรือไม่สะอาดอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและขนคุดคล้ายสิวได้
การแพ้หน้ากากอนามัย (Maskne) ทำให้เกิดสิวรอบปากได้หรือไม่?
ใช่ การแพ้หน้ากากอนามัย (Maskne) สามารถทำให้เกิดสิวรอบปากได้ การใส่หน้ากากอนามัยเป็นเวลานานจะสร้างสภาพแวดล้อมที่อุ่นและชื้นใต้หน้ากาก อีกทั้งยังเกิดการเสียดสีกับผิวหนัง ซึ่งเป็นการดักจับเหงื่อและไขมัน ทำให้รูขุมขนระคายเคืองและเกิดสิวขึ้นในบริเวณที่ถูกหน้ากากปิดไว้ โดยเฉพาะบริเวณแนวกราม คาง และรอบปาก
ยาสีฟันและผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากเป็นตัวการจริงหรือ?
ใช่ ยาสีฟันและผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากบางชนิดสามารถกระตุ้นให้เกิดสิวรอบปากได้ โดยเฉพาะส่วนผสมอย่างฟลูออไรด์และสารที่ทำให้เกิดฟอง เช่น โซเดียมลอริลซัลเฟต (SLS) ซึ่งอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบของผิวหนังบริเวณรอบปาก
ในความเป็นจริง ฟลูออไรด์ในยาสีฟันมีความเชื่อมโยงกับการเกิดผื่นผิวหนังอักเสบชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Perioral Dermatitis ซึ่งมีลักษณะคล้ายสิวมาก แพทย์ผิวหนังมักแนะนำให้ลองเปลี่ยนไปใช้ยาสีฟันที่ไม่มีฟลูออไรด์หรือไม่มีสาร SLS เพื่อดูว่าอาการดีขึ้นหรือไม่
วิธีรักษาสิวรอบปากให้ได้ผลดีที่สุด
การรักษาสิวรอบปากให้ได้ผลดีที่สุดคือ การดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอและอ่อนโยน ควบคู่กับการใช้ยาทาเฉพาะที่ที่หาซื้อได้เอง และปรึกษาแพทย์ผิวหนังหากอาการไม่ดีขึ้น การดูแลผิวเบื้องต้นประกอบด้วยการล้างหน้าวันละสองครั้งด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและใช้มอยส์เจอไรเซอร์ชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic)
สำหรับยาทาเฉพาะที่ซึ่งหาซื้อได้เอง (OTC) ที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่:
- เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide): ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวและลดการอักเสบ
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): ช่วยผลัดเซลล์ผิวและทำความสะอาดรูขุมขนที่อุดตัน
- อะแดพาลีน (Adapalene): เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ (retinoid) ที่ช่วยควบคุมการผลัดเซลล์ผิวและป้องกันการเกิดสิวใหม่
หากอาการไม่ดีขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ประมาณ 6-8 สัปดาห์ หรือสิวมีความรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาด้วยยาตามใบสั่งแพทย์ เช่น ยาปฏิชีวนะ, ยาปรับฮอร์โมน หรือไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin)
การดูแลผิวเบื้องต้นเมื่อเป็นสิวรอบปาก
การดูแลผิวเบื้องต้นเมื่อเป็นสิวรอบปากคือ การสร้างกิจวัตรการดูแลผิวที่อ่อนโยนและสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกในการจัดการสิว
คุณสามารถปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้ได้:
- ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน: ล้างหน้าวันละสองครั้งด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง และหลีกเลี่ยงการขัดถูผิวแรงๆ
- ให้ความชุ่มชื้น: ทามอยส์เจอไรเซอร์ชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) เพื่อรักษาเกราะป้องกันผิวและลดความแห้งกร้าน
- ห้ามสัมผัส: หลีกเลี่ยงการแกะหรือบีบสิว เพราะจะทำให้อาการอักเสบแย่ลงและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็น
การเลือกใช้ยารักษาสิวรอบปากที่เหมาะสม
การเลือกใช้ยารักษาสิวรอบปากที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสิว โดยมีตั้งแต่ยาที่หาซื้อได้เองสำหรับสิวที่ไม่รุนแรง ไปจนถึงยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์สำหรับสิวที่รุนแรงขึ้น
- ยาที่หาซื้อได้เอง (OTC): เหมาะสำหรับสิวระดับเริ่มต้นถึงปานกลาง
- เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide): ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอุดตัน
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): ช่วยผลัดเซลล์ผิวและสลายสิ่งอุดตันในรูขุมขน
- อะแดพาลีน (Adapalene): เป็นอนุพันธ์วิตามินเอ (Retinoid) ที่ช่วยปรับการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นปกติและป้องกันการเกิดสิวใหม่
- ยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์: ควรพบแพทย์ผิวหนังหากใช้ยา OTC แล้วไม่ดีขึ้นใน 6-8 สัปดาห์ หรือมีอาการรุนแรง
- ยาปฏิชีวนะชนิดทา: เช่น คลินดามัยซิน (Clindamycin) เพื่อลดเชื้อแบคทีเรียและการอักเสบ
- ยาฮอร์โมน: เช่น สไปโรโนแลคโตน (Spironolactone) หรือยาคุมกำเนิด สำหรับผู้หญิงที่มีสิวจากฮอร์โมน
- ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน: สำหรับสิวอักเสบระดับปานกลางถึงรุนแรง
- ไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin): สำหรับสิวที่เป็นซีสต์รุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น
การรักษาโดยแพทย์ผิวหนัง: เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์?
ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเมื่อสิวรอบปากมีความรุนแรงปานกลางถึงรุนแรง ไม่ดีขึ้นหลังใช้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เองนาน 6-8 สัปดาห์ หรือเมื่อสิวทำให้เกิดแผลเป็นหรือความทุกข์ใจอย่างมาก แพทย์ผิวหนังสามารถวินิจฉัยและสั่งยาที่เหมาะสมได้ เช่น ยาปฏิชีวนะชนิดทา, ยารักษาตามสาเหตุทางฮอร์โมนอย่างสไปโรโนแลคโตน (spironolactone) สำหรับผู้หญิง, ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน หรือยาไอโซเตรติโนอิน (isotretinoin) ในกรณีที่รุนแรงและดื้อต่อการรักษาอื่น
วิธีป้องกันไม่ให้สิวกลับมาขึ้นรอบปากซ้ำ
การป้องกันสิวรอบปากไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ ต้องอาศัยการดูแลอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งประกอบด้วยการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ การรักษาสุขอนามัย และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม
เพื่อป้องกันสิวในระยะยาว ควรปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้:
- ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และอาหาร: รับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ หลีกเลี่ยงอาหารหวานและผลิตภัณฑ์นมบางชนิดที่อาจกระตุ้นสิว นอกจากนี้ควรจัดการความเครียดและนอนหลับให้เพียงพอเพื่อควบคุมระดับฮอร์โมน
- รักษาสุขอนามัยและกิจวัตรประจำวัน: ล้างหน้าเบาๆ วันละสองครั้ง ทำความสะอาดสิ่งของที่สัมผัสใบหน้า เช่น หน้ากากอนามัยและโทรศัพท์มือถือ และเปลี่ยนปลอกหมอนเป็นประจำ
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน: ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ทำให้อุดตัน) เพื่อหลีกเลี่ยงการอุดตันของรูขุมขน
- ดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง: แม้ว่าสิวจะหายแล้ว ควรใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันสิวต่อไป เช่น เรตินอยด์หรือเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ เพื่อควบคุมไม่ให้สิวกลับมาใหม่ และหมั่นสังเกตปัจจัยกระตุ้นส่วนตัว
การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อลดความเสี่ยง
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อลดความเสี่ยงของสิวรอบปาก สามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนอาหาร การจัดการความเครียด และการรักษาสุขอนามัยที่ดี
การปรับเปลี่ยนเหล่านี้ประกอบด้วย:
- อาหาร: หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูงและผลิตภัณฑ์นมบางชนิด เช่น นมพร่องมันเนย เนื่องจากอาจกระตุ้นการผลิตน้ำมันบนใบหน้า ควรเน้นรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ผัก ผลไม้ และอาหารที่มีไขมันโอเมก้า 3
- การจัดการความเครียด: ความเครียดเรื้อรังสามารถกระตุ้นให้เกิดสิวได้ ดังนั้นการออกกำลังกายสม่ำเสมอ การทำสมาธิ หรือการนอนหลับให้เพียงพอจึงช่วยควบคุมฮอร์โมนความเครียดและลดการเกิดสิวได้
- สุขอนามัยและพฤติกรรมประจำวัน: หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ ทำความสะอาดหน้ากากอนามัยและเปลี่ยนปลอกหมอนเป็นประจำ และควรล้างคราบยาสีฟันบริเวณรอบปากหลังแปรงฟันทุกครั้ง
การเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอาง
ควรเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอางที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน) หรือ “oil-free” (ปราศจากน้ำมัน) เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้ผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน
- ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว: เลือกมอยส์เจอไรเซอร์และครีมกันแดดสูตรเนื้อบางเบา เช่น เจลหรือโลชั่น แทนครีมเนื้อหนัก และใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนเพื่อไม่ให้ผิวแห้งจนเกินไป
- เครื่องสำอาง: เลือกใช้เครื่องสำอางชนิดฝุ่นซึ่งมีแนวโน้มอุดตันน้อยกว่ารองพื้นชนิดน้ำเนื้อหนา และควรทำความสะอาดอุปกรณ์แต่งหน้าเป็นประจำเพื่อลดการสะสมของแบคทีเรีย นอกจากนี้ ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมดจดทุกครั้งก่อนนอน
สิวรอบปากแตกต่างจากเริมหรือผื่นชนิดอื่นอย่างไร?
สิวรอบปากมีลักษณะเฉพาะคือการมีสิวอุดตัน (comedones) เช่น สิวหัวดำและสิวหัวขาว ซึ่งเป็นข้อแตกต่างที่สำคัญจากเริมและผื่นผิวหนังอักเสบชนิดอื่น
สิวรอบปากแตกต่างจากภาวะอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายกัน ดังนี้:
- ผื่นผิวหนังอักเสบ (Perioral Dermatitis): เป็นตุ่มแดงเล็กๆ หรือมีขุย แต่จะไม่มีสิวอุดตัน และมักมีสาเหตุมาจากยาสีฟันฟลูออไรด์หรือครีมสเตียรอยด์
- เริม (Cold Sores): เกิดจากเชื้อไวรัส มีลักษณะเป็นกลุ่มตุ่มน้ำใสซึ่งจะแตกและตกสะเก็ดในภายหลัง ไม่ใช่ตุ่มหนองเหมือนสิว และมักมีอาการเจ็บหรือคันนำมาก่อน
- รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis): เป็นตุ่มหนองที่เกิดจากการติดเชื้อที่รูขุมขน มักมีอาการคันและไม่มีสิวอุดตันร่วมด้วย
วิธีสังเกตความแตกต่างระหว่างตุ่มสิวและตุ่มเริม
ตุ่มสิวเป็นตุ่มแข็งมีหนอง ในขณะที่เริมเป็นกลุ่มตุ่มน้ำใส ซึ่งมีความแตกต่างที่สำคัญหลายประการ
คุณสามารถสังเกตความแตกต่างระหว่างตุ่มสิวและเริมได้จากตารางเปรียบเทียบนี้
ลักษณะ | ตุ่มสิว (Perioral Acne) | เริม (Cold Sores) |
---|---|---|
ลักษณะตุ่ม | ตุ่มแดงอักเสบ ตุ่มหนอง หรือสิวอุดตัน (ไม่มีน้ำใส) | กลุ่มตุ่มน้ำใส ซึ่งต่อมาจะแตกและตกสะเก็ด |
อาการเริ่มต้น | ไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า | มักมีอาการเจ็บแปลบ คัน หรือแสบร้อนก่อนตุ่มขึ้น |
การติดต่อ | ไม่ติดต่อ | ติดต่อได้ |
ตำแหน่งที่เกิด | เกิดขึ้นได้หลายตำแหน่งและไม่มีรูปแบบการเกิดซ้ำที่ชัดเจน | มักเกิดซ้ำในตำแหน่งเดิม |
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวรอบปาก
บีบสิวที่ปากแล้วบวมทำอย่างไร?
หลังจากบีบสิวที่ปากแล้วบวม ควรทำความสะอาดบริเวณนั้นเบาๆ ทายาปฏิชีวนะ และประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม การดูแลที่เหมาะสมจะช่วยลดการอักเสบและป้องกันการติดเชื้อ
ขั้นตอนการดูแลหลังบีบสิว:
- ทำความสะอาด: ล้างบริเวณที่บีบสิวเบาๆ เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกหรือเลือด
- ทายา: ทายาปฏิชีวนะชนิดขี้ผึ้งบางๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- ประคบเย็น: ใช้การประคบเย็นเพื่อช่วยบรรเทาอาการแดงและบวม
- ใช้แผ่นแปะสิว: พิจารณาใช้แผ่นแปะสิวไฮโดรคอลลอยด์เพื่อช่วยดูดซับของเหลว ปกป้องแผล และเร่งการฟื้นฟู
สิ่งสำคัญคือควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณดังกล่าวและงดแต่งหน้าจนกว่าแผลจะหายดี หากมีอาการแดง ปวด หรือมีหนองเพิ่มขึ้น ควรไปพบแพทย์เพราะอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
สิวรอบปากเกี่ยวข้องกับสิวที่คางหรือไม่?
ใช่ สิวรอบปากและสิวที่คางมีความเกี่ยวข้องกัน เนื่องจากสิวรอบปากคือสิวที่ขึ้นเป็นกลุ่มบริเวณรอบปาก ซึ่งมักจะลามไปถึงบริเวณคางและแนวกรามด้วย
สิวในบริเวณเหล่านี้มักเป็นส่วนหนึ่งของ “สิวฮอร์โมน” ซึ่งพบได้บ่อยในผู้หญิงวัยผู้ใหญ่ โดยจะขึ้นหนาแน่นบริเวณคาง แนวกราม และรอบปาก