สิวที่หัว: สาเหตุ วิธีรักษา และการป้องกัน
สิวที่หัวคืออะไร และแตกต่างจากตุ่มบนศีรษะทั่วไปอย่างไร?
สิวที่หัวคือ การเกิดสิวบนหนังศีรษะหรือตามแนวไรผมซึ่งมีสาเหตุมาจากการอุดตันของรูขุมขน เช่นเดียวกับสิวบนใบหน้า โดยเกิดจากการสะสมของน้ำมันส่วนเกิน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และแบคทีเรียในรูขุมขนจนเกิดการอักเสบ
สิวที่หัวแตกต่างจากตุ่มชนิดอื่นบนหนังศีรษะ ดังนี้
- รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis): มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา ทำให้เกิดตุ่มหนองขนาดเล็กและมีอาการคัน แต่โดยทั่วไปจะไม่มีสิวอุดตัน (สิวหัวดำหรือสิวหัวขาว) เหมือนสิวจริง
- ซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง (Pilar Cysts): เป็นก้อนนูนเรียบ แข็ง และไม่เจ็บซึ่งอยู่ใต้ผิวหนัง สามารถขยับได้เล็กน้อย เกิดจากการสะสมของเคราติน ไม่ใช่การอักเสบของสิว
- โรคหูดข้าวสุก (Seborrheic Keratoses): เป็นตุ่มนูนคล้ายหูด มีสีน้ำตาลหรือดำ ผิวมีลักษณะคล้ายขี้ผึ้ง มักพบในผู้สูงอายุและไม่ใช่สิว
ความแตกต่างระหว่างสิวที่หัวกับรูขุมขนอักเสบ
สิวที่หนังศีรษะเกิดจากรูขุมขนอุดตัน ในขณะที่ รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis) คือการติดเชื้อที่รูขุมขนโดยตรง
ข้อแตกต่างที่สำคัญคือ สิวที่หนังศีรษะเป็นกระบวนการอักเสบเรื้อรังที่เกิดจากการสะสมของไขมัน (sebum) และเซลล์ผิวที่ตายแล้วในรูขุมขน ซึ่งมักจะมีสิวอุดตัน (สิวหัวดำหรือสิวหัวขาว) ร่วมด้วย ส่วนรูขุมขนอักเสบมักเป็นการติดเชื้อเฉียบพลันจากแบคทีเรีย (เช่น Staphylococcus aureus) หรือเชื้อรา (เช่น Malassezia) ทำให้เกิดตุ่มหนองเล็กๆ ที่มีอาการคัน แต่จะไม่มีสิวอุดตัน
ตุ่มบนหัวแบบไหนที่ไม่ใช่สิว?
ตุ่มบนศีรษะที่ไม่ใช่สิว ได้แก่ ซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง (Pilar Cysts) โรคผิวหนังชรา (Seborrheic Keratoses) และรูขุมขนอักเสบ (Folliculitis)
ตุ่มเหล่านี้มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิว แต่มีลักษณะและสาเหตุที่แตกต่างกัน ดังนี้
- ซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง (Pilar Cysts): เป็นก้อนนูนเรียบ แข็ง ไม่เจ็บ และสามารถขยับได้ใต้ผิวหนัง
- โรคผิวหนังชรา (Seborrheic Keratoses): เป็นตุ่มคล้ายหูดสีน้ำตาลหรือดำ ผิวขรุขระคล้ายแว็กซ์ มักพบในผู้สูงอายุ
- เนื้องอกไขมัน (Lipomas): เป็นก้อนไขมันนิ่มๆ ที่ไม่เป็นอันตราย
- รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis): เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราที่รูขุมขน ทำให้เกิดตุ่มหนองเล็กๆ ที่มีอาการคัน แต่จะไม่มีสิวหัวดำหรือสิวหัวขาวเหมือนสิวทั่วไป
เจาะลึก 5 สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวที่หัว
1. การอุดตันของรูขุมขนและน้ำมันส่วนเกิน
การอุดตันของรูขุมขนและน้ำมันส่วนเกินบนหนังศีรษะเป็นสาเหตุพื้นฐานของสิวบนหนังศีรษะ ซึ่งเกิดจากการที่น้ำมัน (ซีบัม) ที่ผลิตออกมามากเกินไป รวมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้วและคราบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไปสะสมจนเกิดการอุดตันในรูขุมขน
การสระผมน้อยเกินไปหรือการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบหลัก เช่น โพเมดหรือครีมนวดผมแบบไม่ต้องล้างออก สามารถทำให้เกิดการสะสมของน้ำมันและสิ่งสกปรกจนเกิดการอุดตันได้ง่ายขึ้น สภาวะที่อุดตันนี้จะกลายเป็นแหล่งกักเก็บแบคทีเรียและยีสต์ ซึ่งนำไปสู่การอักเสบและเกิดเป็นตุ่มสิวในที่สุด
2. การสะสมของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา
การสะสมของแบคทีเรียและเชื้อราในรูขุมขนที่อุดตันเป็นสาเหตุสำคัญของการอักเสบ ซึ่งทำให้เกิดสิวและภาวะรูขุมขนอักเสบบนหนังศีรษะ
- แบคทีเรีย: เชื้อ Cutibacterium acnes (C. acnes) เป็นตัวกระตุ้นหลักของสิวทั่วไปโดยการปล่อยสารเคมีที่ก่อให้เกิดการอักเสบในรูขุมขนที่อุดตัน ในขณะที่เชื้อ Staphylococcus aureus มักเป็นสาเหตุของรูขุมขนอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
- เชื้อรา: เชื้อยีสต์มาลาสซีเซีย (Malassezia) เป็นสาเหตุของภาวะรูขุมขนอักเสบจากเชื้อรา หรือที่เรียกว่า “สิวเชื้อรา” โดยเฉพาะในบริเวณที่มัน ซึ่งการรักษาด้วยยาต้านเชื้อราสามารถช่วยให้อาการดีขึ้นได้
3. การแพ้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม
การแพ้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมสามารถทำให้เกิดตุ่มคล้ายสิวและรอยแดงบนหนังศีรษะได้ ซึ่งเป็นอาการของโรคผิวหนังอักเสบจากการสัมผัส (contact dermatitis)
สารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อยในผลิตภัณฑ์ เช่น สีย้อมผม น้ำหอม สารซัลเฟต หรือสารกันบูด สามารถกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ ทำให้เกิดแผลอักเสบและคันบนหนังศีรษะซึ่งมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิว
4. ฮอร์โมนและความเครียด
ฮอร์โมนและความเครียดเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดสิวบนหนังศีรษะ โดยฮอร์โมนแอนโดรเจนจะกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันมากขึ้น ทำให้รูขุมขนอุดตันได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นหรือช่วงมีรอบเดือน ส่วนความเครียดจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งไปเพิ่มการผลิตน้ำมันและการอักเสบเช่นกัน
5. พฤติกรรมการใช้ชีวิตและสุขอนามัย
พฤติกรรมการใช้ชีวิตและสุขอนามัยที่ดีมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันและจัดการสิวที่หนังศีรษะ โดยเน้นที่การรักษาความสะอาด การเลือกรับประทานอาหาร และการจัดการความเครียด
ปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและสุขอนามัย ได้แก่
- สุขอนามัย: การสระผมน้อยเกินไปทำให้เกิดการสะสมของน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ในขณะที่การสวมหมวกหรืออุปกรณ์ที่รัดแน่นเป็นเวลานานจะสร้างสภาพแวดล้อมที่อับชื้นและร้อน ซึ่งเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์และการอุดตันของรูขุมขน
- อาหาร: อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูง (เช่น ของหวาน ขนมปังขาว) สามารถกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้นและเพิ่มการอักเสบ ทำให้สิวแย่ลงได้ นอกจากนี้ งานวิจัยบางชิ้นยังชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างการบริโภคนม (โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย) กับการเกิดสิว
- ความเครียด: ความเครียดเป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญ เนื่องจากร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่ไปเพิ่มการผลิตน้ำมันและการอักเสบของผิวหนัง ทำให้สิวเห่อขึ้นได้
สิวที่หัวมีกี่ประเภท และแต่ละแบบมีลักษณะอาการอย่างไร?
สิวที่หัวแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ สิวอุดตัน (non-inflammatory) และสิวอักเสบ (inflammatory) ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะอาการแตกต่างกันไป
- สิวอุดตัน (Comedonal Lesions): เป็นสิวที่ไม่เกิดการอักเสบ เกิดจากการอุดตันของไขมันและเซลล์ผิวในรูขุมขน มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ แบ่งย่อยได้เป็น
- สิวหัวขาว (Whiteheads): สิวอุดตันหัวปิด
- สิวหัวดำ (Blackheads): สิวอุดตันหัวเปิด
- สิวอักเสบ (Inflammatory Lesions): เกิดขึ้นเมื่อรูขุมขนที่อุดตันเกิดการติดเชื้อหรือระคายเคือง ทำให้เกิดอาการอักเสบ ได้แก่
- ตุ่มแดง (Papules): ตุ่มนูนแดงรอบรูขุมขน
- ตุ่มหนอง (Pustules): ตุ่มที่มีหนองอยู่ข้างใน อาจมีอาการเจ็บหรือคัน
- ก้อนหรือซีสต์ (Nodules/Cysts): ในกรณีที่รุนแรง จะเกิดเป็นก้อนแข็งขนาดใหญ่ใต้ผิวหนังซึ่งมักมีอาการเจ็บปวด
สิวอักเสบที่หัว: ตุ่มแดง เจ็บ และมีหนอง
สิวอักเสบที่หนังศีรษะคือตุ่มที่เกิดจากการติดเชื้อหรือการระคายเคืองในรูขุมขนที่อุดตัน ซึ่งจะปรากฏเป็นตุ่มแดง (Papules) และตุ่มหนอง (Pustules) รอบๆ รูขุมขน โดยมักมีอาการเจ็บหรือคันร่วมด้วย
ในกรณีที่รุนแรงขึ้น สิวอักเสบอาจพัฒนากลายเป็นก้อนนูนแข็งใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์ (Cysts) หรือก้อนสิวขนาดใหญ่ (Nodules) ซึ่งมักมีอาการเจ็บปวดมาก และอาจมีหนองไหลหรือตกสะเก็ดได้
สิวตุ่มนูนแดง (Papules)
สิวตุ่มนูนแดง (Papules) คือตุ่มแดงอักเสบที่ก่อตัวขึ้นรอบๆ รูขุมขน ซึ่งเป็นผลมาจากรูขุมขนที่อุดตันเกิดการติดเชื้อหรือระคายเคือง ตุ่มชนิดนี้อาจมีอาการเจ็บหรือคันเมื่อสัมผัส
สิวหัวหนอง (Pustules)
สิวหัวหนอง (Pustules) คือ ตุ่มอักเสบที่มีหนองอยู่ข้างใน ซึ่งเป็นสิวประเภทหนึ่ง
สิวชนิดนี้เกิดขึ้นเมื่อรูขุมขนที่อุดตันเกิดการติดเชื้อหรือระคายเคือง ทำให้เกิดเป็นตุ่มแดงรอบๆ รูขุมขน และมักมีอาการเจ็บหรือคันเมื่อสัมผัส ในกรณีที่รุนแรง ตุ่มหนองอาจมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีหนองไหลซึมออกมาได้
สิวหัวช้าง (Nodules/Cysts)
สิวหัวช้าง (Nodules/Cysts) คือสิวอักเสบชนิดรุนแรง ที่มีลักษณะเป็นตุ่มขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นใต้ผิวหนังบริเวณหนังศีรษะ สิวชนิดนี้มักมีอาการเจ็บปวด และอาจมีหนองไหลหรือตกสะเก็ดได้ ในบางกรณี รูขุมขนหลายแห่งที่อยู่ติดกันอาจเกิดการอักเสบร่วมกันได้เช่นกัน
สิวอุดตันที่หัว: สิวหัวขาวและสิวหัวดำ
สิวอุดตันบนหนังศีรษะ (comedones) คือรูขุมขนที่อุดตันจากเคราติน (keratin) และไขมัน (sebum) ซึ่งปรากฏเป็นตุ่มเล็กๆ
สิวอุดตันบนหนังศีรษะมี 2 ประเภท ได้แก่
- สิวหัวขาว (Closed comedones): เป็นสิวอุดตันหัวปิด
- สิวหัวดำ (Open comedones): เป็นสิวอุดตันหัวเปิด
สิวอุดตันเป็นลักษณะของสิวบนหนังศีรษะในระยะเริ่มต้นหรือกรณีที่ไม่รุนแรง และมักจะสังเกตเห็นได้ยากเนื่องจากมีเส้นผมบดบัง การมีอยู่ของสิวอุดตันเป็นข้อบ่งชี้สำคัญที่ช่วยแยกสิว (acne) ออกจากภาวะรูขุมขนอักเสบ (folliculitis)
สิวที่หัวเกี่ยวข้องกับภาวะหนังศีรษะอักเสบหรือไม่?
ใช่ สิวที่หัวเกี่ยวข้องโดยตรงกับภาวะหนังศีรษะอักเสบ
สิวที่หัวถือเป็นภาวะการอักเสบเรื้อรังของหน่วยรูขุมขนและต่อมไขมัน เมื่อรูขุมขนอุดตัน แบคทีเรียจะเจริญเติบโตและปล่อยสารเคมีที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ทำให้เกิดเป็นตุ่มแดงหรือตุ่มหนองขึ้นมา หากการอักเสบเรื้อรังและรุนแรง อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น โรครากผมอักเสบชนิดทำลาย (folliculitis decalvans) ซึ่งทำให้เกิดแผลเป็นและผมร่วงถาวรได้
ความเชื่อมโยงระหว่างสิวที่หัวและอาการคัน
สิวที่หนังศีรษะสามารถทำให้เกิดอาการคันได้ โดยเฉพาะเมื่อตุ่มสิวเกิดการอักเสบ
อาการคันเป็นผลมาจากการอักเสบของรูขุมขนที่อุดตัน เมื่อรูขุมขนติดเชื้อหรือระคายเคือง จะเกิดเป็นตุ่มแดงหรือตุ่มหนองซึ่งมักจะทำให้รู้สึกเจ็บหรือคันเมื่อสัมผัส อย่างไรก็ตาม ภาวะรูขุมขนอักเสบ (folliculitis) ซึ่งมีลักษณะคล้ายสิวมักจะมีอาการคันที่รุนแรงกว่าสิวทั่วไป
สิวที่หัวทำให้ผมร่วงได้จริงหรือ?
ใช่ สิวที่หนังศีรษะชนิดรุนแรงหรือมีการอักเสบมากอาจทำให้ผมร่วงได้ โดยเฉพาะเมื่อการอักเสบทำลายรูขุมขนอย่างถาวร
โดยทั่วไปแล้ว สิวที่หนังศีรษะที่ไม่รุนแรงมักไม่ทำให้ผมร่วง แต่ในกรณีที่เกิดการอักเสบของรูขุมขนอย่างรุนแรงและเรื้อรัง เช่น ในภาวะที่เรียกว่า “folliculitis decalvans” หรือ “acne necrotica” การอักเสบสามารถทำลายรูขุมขนและแทนที่ด้วยเนื้อเยื่อแผลเป็น ส่งผลให้เกิดภาวะผมร่วงเป็นแผลเป็น (scarring alopecia) ซึ่งเป็นหย่อมศีรษะล้านอย่างถาวรได้
วิธีรักษาสิวที่หัวให้หายขาดทำได้อย่างไร?
การรักษาสิวที่หนังศีรษะที่รุนแรงและดื้อยาให้หายขาดหรือทุเลาลงในระยะยาวอาจจำเป็นต้องใช้ ยาไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) ชนิดรับประทาน ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์รุนแรงและต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
ยานี้เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมันได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยปกติแล้วจะใช้สำหรับรักษาสิวที่หนังศีรษะในระดับรุนแรง ดื้อยา หรือเป็นสิวอักเสบชนิดหัวใหญ่ (Nodulocystic) ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ๆ เช่น ยาทาหรือยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน การใช้ยานี้จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเนื่องจากมีผลข้างเคียงที่สำคัญ
สำหรับการรักษาสิวที่หนังศีรษะในระดับที่ไม่รุนแรงถึงปานกลาง แพทย์มักจะเริ่มด้วยการรักษาแบบอื่น ๆ ก่อน เช่น:
- ยาทาเฉพาะที่: เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide), กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid), หรือยาปฏิชีวนะชนิดทา
- ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน: เช่น ด็อกซีไซคลิน (Doxycycline) เพื่อลดการอักเสบและการติดเชื้อแบคทีเรีย
- แชมพูยา: เช่น แชมพูที่มีส่วนผสมของคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) หรือซิงค์ ไพริไธโอน (Zinc Pyrithione) เพื่อควบคุมเชื้อราและลดความมัน
การดูแลและรักษาด้วยตนเองที่บ้าน
การดูแลสิวที่หนังศีรษะด้วยตนเองที่บ้านสามารถทำได้โดยการรักษาความสะอาดของหนังศีรษะ หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการอุดตัน และใช้แชมพูยาที่หาซื้อได้เอง แนวทางปฏิบัติที่แนะนำมีดังนี้
- สระผมให้บ่อยขึ้น: หากคุณมีหนังศีรษะมัน ควรเพิ่มความถี่ในการสระผม โดยเฉพาะหลังจากการขับเหงื่อ เพื่อล้างน้ำมันและสิ่งสกปรกที่อาจอุดตันรูขุมขน
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มันหรือหนัก: งดใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบหลัก เช่น โพเมด หรือครีมนวดผมชนิดไม่ต้องล้างออก เพราะอาจทำให้รูขุมขนอุดตันได้
- ใช้แชมพูยา: เลือกใช้แชมพูที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ เช่น ซาลิไซลิกแอซิด (salicylic acid) เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิว, เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย, หรือคีโตโคนาโซล (ketoconazole) เพื่อต้านเชื้อรา ควรทิ้งแชมพูไว้บนหนังศีรษะ 5-10 นาทีก่อนล้างออก
- หลีกเลี่ยงการระคายเคือง: ลดการสวมหมวกหรือที่คาดผมที่รัดแน่นเป็นเวลานาน และควรทำความสะอาดอุปกรณ์เหล่านี้เป็นประจำ
- รักษาความสะอาดของใช้ส่วนตัว: ควรเปลี่ยนปลอกหมอนอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อลดการสะสมของน้ำมันและแบคทีเรีย
การใช้ยาทาเฉพาะที่เพื่อรักษาสิวที่หัว
การรักษาสิวที่หนังศีรษะด้วยยาทาเฉพาะที่เป็นแนวทางการรักษาลำดับแรก ซึ่งมักใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์หลายชนิดเพื่อฆ่าเชื้อ ลดการอักเสบ และผลัดเซลล์ผิว
ยาทาเฉพาะที่ซึ่งใช้บ่อย ได้แก่:
- เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide): ใช้ในรูปแบบแชมพูหรือเจลเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ แต่ต้องระวังเพราะอาจทำให้สีผมหรือผ้าซีดจางได้
- ยาปฏิชีวนะชนิดทา (Topical Antibiotics): เช่น คลินดามัยซิน (Clindamycin) และอิริโทรมัยซิน (Erythromycin) ในรูปแบบสารละลายหรือเจล ช่วยลดปริมาณแบคทีเรียในรูขุมขน
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): มีในแชมพูหรือโทนเนอร์ ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและสลายสิ่งอุดตันในรูขุมขน
- คอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดทา (Topical Corticosteroids): ใช้ในรูปแบบโลชั่นหรือโฟมเพื่อลดการอักเสบและอาการคันอย่างรวดเร็ว แต่มักใช้ในระยะสั้นๆ เท่านั้น
การรักษาโดยแพทย์เมื่ออาการรุนแรง
การรักษาสิวที่หนังศีรษะที่รุนแรงโดยแพทย์มักจะใช้ยาชนิดรับประทานและการทำหัตถการ เพื่อควบคุมการอักเสบที่ลุกลามและไม่ตอบสนองต่อยาทา
การรักษาโดยแพทย์สำหรับกรณีรุนแรงอาจรวมถึง:
- ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน: เช่น doxycycline หรือ minocycline เพื่อลดการอักเสบและการติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขน
- ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทาน: เช่น fluconazole หรือ itraconazole หากสาเหตุเกิดจากเชื้อรามาลาสซีเซีย (Malassezia folliculitis)
- ยาไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin): เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอที่ออกฤทธิ์รุนแรง ใช้สำหรับสิวที่เป็นก้อนลึก ดื้อยา หรือเกิดซ้ำบ่อยครั้ง เพื่อลดการผลิตไขมันและปรับการผลัดเซลล์ผิว
- การฉีดสเตียรอยด์: แพทย์อาจฉีดยาสเตียรอยด์เข้าไปในตุ่มสิวอักเสบขนาดใหญ่โดยตรงเพื่อช่วยให้ยุบเร็วขึ้น
- การกรีดและระบายหนอง: ในกรณีที่เกิดเป็นฝีหรือตุ่มหนองขนาดใหญ่ แพทย์จะทำการกรีดเพื่อระบายหนองออกและลดแรงกดทับ
แนะนำแชมพูและผลิตภัณฑ์สำหรับคนเป็นสิวที่หัว
แชมพูที่มีส่วนผสมของ Salicylic Acid
แชมพูที่มีส่วนผสมของ Salicylic Acid ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วบนหนังศีรษะและทำความสะอาดสิ่งอุดตันในรูขุมขน Salicylic acid ซึ่งเป็นกรดเบต้าไฮดรอกซี (BHA) ทำหน้าที่เป็นสารช่วยผลัดเซลล์ผิว (keratolytic) โดยจะช่วยสลายเคราตินที่อุดตันในรูขุมขน ทำให้มีประโยชน์อย่างยิ่งในการรักษาสิวและป้องกันการเกิดสิวอุดตันใหม่ๆ บนหนังศีรษะ
แชมพูที่มีส่วนผสมของ Ketoconazole
แชมพูที่มีส่วนผสมของคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) คือแชมพูยาต้านเชื้อราที่ใช้รักษาภาวะรูขุมขนอักเสบจากเชื้อราบนหนังศีรษะ (fungal folliculitis) แชมพูชนิดนี้มีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อยีสต์ (เช่น Malassezia) และยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบร่วมด้วย
แพทย์มักแนะนำให้ใช้แชมพูคีโตโคนาโซลสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง โดยทิ้งฟองไว้บนหนังศีรษะประมาณ 5 นาทีก่อนล้างออก เพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่
ผลิตภัณฑ์ Tea Tree Oil สำหรับหนังศีรษะ
ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของทีทรีออยล์ (Tea Tree Oil) เป็นทางเลือกที่อ่อนโยนสำหรับใช้รักษาสิวบนหนังศีรษะที่ไม่รุนแรง เนื่องจากมีคุณสมบัติต้านจุลชีพและต้านการอักเสบ
จากการศึกษาทางคลินิกพบว่าเจลทีทรีออยล์ 5% สามารถลดจำนวนสิวได้ดีเทียบเท่ากับเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) 5% แต่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า เช่น อาการผิวแห้ง ดังนั้น แชมพูที่มีส่วนผสมของทีทรีออยล์จึงเป็นที่นิยมใช้เป็นประจำเพื่อช่วยป้องกันการเกิดสิวบนหนังศีรษะในระยะยาว
เราจะป้องกันไม่ให้เกิดสิวที่หัวซ้ำได้อย่างไร?
เราสามารถป้องกันการเกิดสิวที่หนังศีรษะซ้ำได้โดยการรักษาสุขอนามัยของหนังศีรษะที่ดี การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน การควบคุมอาหาร และการลดความเครียด
แนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกันสิวที่หนังศีรษะในระยะยาว ได้แก่:
- สุขอนามัยของหนังศีรษะ: สระผมเป็นประจำ โดยเฉพาะหลังมีเหงื่อออก เพื่อป้องกันการสะสมของน้ำมันและสิ่งสกปรก ควรใช้ปลายนิ้วนวดเบาๆ แทนการใช้เล็บเกา และล้างผลิตภัณฑ์ออกให้หมดจด
- การเลือกผลิตภัณฑ์: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน) หรือ “oil-free” (ปราศจากน้ำมัน) หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมที่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือแว็กซ์ และหมั่นทำความสะอาดหมวกและปลอกหมอน
- อาหารและโภชนาการ: รับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ โดยจำกัดการบริโภคน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตขัดสี ดื่มน้ำให้เพียงพอ และอาจพิจารณาลดการบริโภคผลิตภัณฑ์นม
- การใช้ชีวิตและการจัดการความเครียด: จัดการความเครียดด้วยวิธีต่างๆ เช่น การออกกำลังกายหรือการทำสมาธิ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เนื่องจากความเครียดสามารถกระตุ้นการผลิตน้ำมันและการอักเสบได้
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสระผม
เพื่อป้องกันสิวที่หนังศีรษะ ควรสระผมเป็นประจำ (ทุกวันหรือวันเว้นวัน) เพื่อป้องกันการสะสมของความมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก
คำแนะนำเพิ่มเติมในการสระผมมีดังนี้:
- ใช้แชมพูที่อ่อนโยนและมีค่า pH ที่สมดุลกับน้ำอุ่น หลีกเลี่ยงน้ำที่ร้อนเกินไป
- ใช้นิ้วมือนวดหนังศีรษะเบาๆ แทนการใช้เล็บเกา
- ล้างแชมพูและครีมนวดออกให้หมดจดเพื่อไม่ให้มีสารตกค้าง
- หากใช้ครีมนวดผม ให้ชโลมเฉพาะบริเวณปลายผมและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับหนังศีรษะ
- ซับผมให้แห้งเบาๆ แทนการขยี้ด้วยผ้าขนหนูแรงๆ เพื่อลดการระคายเคืองต่อรูขุมขน
การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพหนังศีรษะ
ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน), “oil-free” (ปราศจากน้ำมัน) หรือ “won’t cause acne” (ไม่ก่อให้เกิดสิว) เพื่อป้องกันการอุดตันของรูขุมขน
ข้อแนะนำเพิ่มเติมในการเลือกผลิตภัณฑ์มีดังนี้:
- เลือกใช้แชมพูที่อ่อนโยนและครีมนวดผมสูตรบางเบาที่เป็นแบบน้ำ (water-based)
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมที่มีส่วนผสมของน้ำมัน แว็กซ์ หรือขี้ผึ้ง (pomades)
- เมื่อใช้ครีมนวดผม ควรชโลมเฉพาะความยาวและปลายผม โดยหลีกเลี่ยงไม่ให้สัมผัสกับหนังศีรษะ
- หมั่นทำความสะอาดสิ่งของที่สัมผัสกับหนังศีรษะเป็นประจำ เช่น ปลอกหมอน หมวก และผ้าโพกศีรษะ
การควบคุมอาหารและลดความเครียด
การควบคุมอาหารโดยเน้นอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำและจัดการความเครียดเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันและควบคุมสิวที่หนังศีรษะในระยะยาว เนื่องจากปัจจัยทั้งสองมีผลโดยตรงต่อการผลิตน้ำมันและการอักเสบของผิว
- การควบคุมอาหาร: การรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาล (GI) สูง เช่น ของหวาน ขนมปังขาว และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล สามารถกระตุ้นการผลิตน้ำมันและการอักเสบ ทำให้สิวแย่ลงได้ ควรเน้นรับประทานผักสด ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนไขมันต่ำ นอกจากนี้ บางงานวิจัยพบความเชื่อมโยงระหว่างนม (โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย) กับการเกิดสิว
- การจัดการความเครียด: ความเครียดกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนที่เพิ่มการผลิตน้ำมันและการอักเสบบนผิวหนัง การจัดการความเครียดด้วยวิธีต่างๆ เช่น การออกกำลังกายเป็นประจำ (และสระผมหลังจากนั้น) การทำสมาธิ โยคะ และการนอนหลับให้เพียงพอ (7-8 ชั่วโมง) สามารถช่วยลดการเกิดสิวที่กำเริบจากความเครียดได้