สิวจากยีสต์ (เชื้อรา): สาเหตุ อาการ และวิธีรักษา
สิวจากยีสต์ (เชื้อรา) คืออะไร?
สิวจากยีสต์ (เชื้อรา) คือ การติดเชื้อราชนิด Malassezia ในรูขุมขน ที่ทำให้เกิดตุ่มผื่นแดงคันคล้ายสิว แต่มีสาเหตุจากเชื้อราแทนที่จะเป็นแบคทีเรีย มีชื่อทางการแพทย์ว่า Pityrosporum folliculitis หรือ Malassezia folliculitis โดยเชื้อรายีสต์นี้อาศัยอยู่บนผิวหนังปกติ แต่เมื่อมีการเติบโตมากเกินไปจากความชื้น เหงื่อ ความร้อน หรือการใช้ยาปฏิชีวนะ จะทำให้เกิดการอักเสบในรูขุมขนและปรากฏเป็นตุ่มแดงเล็กๆ ขนาดเท่ากันเป็นกลุ่ม มักเกิดบริเวณหน้าอก หลัง และบางครั้งบนใบหน้า
ทำความรู้จักเชื้อรา Malassezia สาเหตุหลักของสิว
เชื้อรา Malassezia คือ เชื้อรายีสต์ที่อาศัยอยู่บนผิวหนังคนปกติ แต่เมื่อเติบโตมากเกินไปจะทำให้เกิดการอักเสบในรูขุมขน
เชื้อรานี้กินน้ำมันบนผิวหนัง (sebum) เป็นอาหาร โดยปกติไม่ก่อโรค แต่เมื่อมีปัจจัยกระตุ้นเช่น:
- ความชื้น ความร้อน เหงื่อที่ขังบนผิว
- การใช้ยาปฏิชีวนะที่ทำให้แบคทีเรียดีลดลง
- ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงทำให้ผิวมัน
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันหรือสารอาหารที่เชื้อราชอบ
เชื้อราจะเจริญเติบโตในรูขุมขนจนเกิดการอักเสบ ทำให้เกิดตุ่มแดงคันที่มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิวธรรมดา แต่จริงๆ แล้วเป็น Pityrosporum folliculitis หรือ Malassezia folliculitis ซึ่งต้องรักษาด้วยยาต้านเชื้อรา ไม่ใช่ยาฆ่าแบคทีเรีย
สิวจากยีสต์ใช่ Pityrosporum Folliculitis หรือไม่?
ใช่ สิวจากยีสต์คือ Pityrosporum Folliculitis เป็นชื่อเรียกอย่างเดียวกัน ยังมีชื่ออื่นอีกคือ Malassezia folliculitis ซึ่งทั้งหมดหมายถึงการติดเชื้อราในรูขุมขนที่เกิดจากเชื้อรายีสต์ชนิดเดียวกัน
5 สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวจากยีสต์ (เชื้อรา)
1. ความอับชื้นและเหงื่อบนผิวหนัง
ความอับชื้นและเหงื่อบนผิวหนังเป็น สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเจริญเติบโตของเชื้อรา Malassezia ซึ่งเป็นสาเหตุของสิวจากยีสต์
เชื้อราชนิดนี้ชอบบริเวณที่อบอุ่นและชื้น โดยเฉพาะ:
- การใส่เสื้อผ้ารัดรูปหรือไม่ระบายอากาศที่กักเก็บเหงื่อและความร้อน
- การอยู่ในชุดออกกำลังกายที่เปียกเหงื่อเป็นเวลานาน
- การไม่อาบน้ำทันทีหลังออกกำลังกายหรือเหงื่อออกมาก
- การใช้อ่างน้ำร้อนหรือสระน้ำเป็นเวลานาน
สภาพเหล่านี้ทำให้รูขุมขนเสียหายและสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับเชื้อรายีสต์ในการเข้าไปติดเชื้อและก่อให้เกิดการอักเสบ
2. ผลข้างเคียงจากการใช้ยาปฏิชีวนะ
การใช้ยาปฏิชีวนะทำให้เกิดสิวจากยีสต์ได้เพราะ ยาปฏิชีวนะฆ่าแบคทีเรียดีบนผิวหนังที่ช่วยควบคุมปริมาณเชื้อรา ทำให้เชื้อรา Malassezia เติบโตมากเกินไป
เมื่อแบคทีเรียปกติบนผิวหนังลดลง เชื้อรายีสต์ที่อยู่บนผิวหนังอยู่แล้วจะไม่มีคู่แข่งในการแย่งอาหารและพื้นที่ ทำให้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วจนเข้าไปติดเชื้อในรูขุมขน นอกจากนี้ สิวจากเชื้อรามักไม่ตอบสนองหรืออาจแย่ลงเมื่อใช้ยาปฏิชีวนะรักษาสิว ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกว่าเป็นสิวจากเชื้อรา ไม่ใช่แบคทีเรีย
3. ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่อ่อนแอ
ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอทำให้ ร่างกายไม่สามารถควบคุมการเติบโตของเชื้อรา Malassezia ที่อยู่บนผิวหนังได้ จึงเกิดการติดเชื้อในรูขุมขนได้ง่าย
ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง สิวจากเชื้อรามักมีอาการรุนแรงและกระจายเป็นบริเวณกว้าง เนื่องจากร่างกายไม่มีกำลังพอที่จะต่อสู้กับเชื้อราที่เจริญเติบโตเกินปกติ ทำให้เชื้อราที่ปกติไม่ก่อโรคกลายเป็นสาเหตุของการอักเสบและติดเชื้อในรูขุมขนได้
4. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่น ทำให้ ต่อมไขมันผลิตน้ำมันบนผิวหนังมากขึ้น ซึ่งเป็นอาหารของเชื้อรา Malassezia
เมื่อมีน้ำมันบนผิวหนังมากขึ้น เชื้อรายีสต์จะมีอาหารเพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้ปริมาณเชื้อราเพิ่มขึ้นจนเกินระดับปกติและเข้าไปก่อการอักเสบในรูขุมขน นำไปสู่การเกิดสิวจากเชื้อราในที่สุด
5. การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่เหมาะสม
การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่เหมาะสมทำให้เกิดสิวจากยีสต์ได้เพราะ ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันหนักและกรดไขมันเป็นอาหารที่เชื้อรา Malassezia สามารถย่อยและใช้เป็นอาหารได้
ผลิตภัณฑ์ที่ควรหลีกเลี่ยง:
- ครีมที่มีน้ำมันหนัก เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก
- ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากการหมัก
- สารที่อุดตันรูขุมขน
- ไขมันอิ่มตัวในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
แพทย์ผิวหนังแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ “fungal-safe” ที่ไม่มีส่วนผสมเหล่านี้ เลือกใช้โลชั่นเนื้อบางที่ไม่อุดตันรูขุมขนแทน
วิธีสังเกตอาการของสิวจากยีสต์ (เชื้อรา) ด้วยตัวเอง
สิวจากยีสต์สังเกตได้จาก ตุ่มแดงเล็กๆ ขนาดเท่ากันเป็นกลุ่มและมีอาการคัน ซึ่งแตกต่างจากสิวธรรมดาอย่างชัดเจน
สัญญาณสำคัญที่ควรสังเกต:
- ลักษณะตุ่ม – ตุ่มแดงขนาดเล็กเท่าๆ กัน บางตุ่มมีหัวหนองเล็กๆ สีขาว ไม่มีหัวดำหรือหัวขาวแบบสิวธรรมดา
- อาการคัน – คันมากโดยเฉพาะ ซึ่งสิวธรรมดาจะไม่คัน
- ตำแหน่งที่เกิด – มักเกิดเป็นกลุ่มบริเวณหน้าอก หลัง หน้าผาก ขมับ
- การตอบสนองต่อยา – ไม่ดีขึ้นหรืออาจแย่ลงเมื่อใช้ยารักษาสิวธรรมดา
- รูปแบบการกระจาย – เป็นกลุ่มคล้ายผื่น กระจายสม่ำเสมอ
หากมีอาการเหล่านี้ โดยเฉพาะอาการคันร่วมกับตุ่มขนาดเท่ากัน ควรสงสัยว่าเป็นสิวจากเชื้อรา
ลักษณะของตุ่มสิว: ขนาด สี และการกระจายตัว
ตุ่มสิวจากยีสต์มีลักษณะเป็น ตุ่มแดงเล็กๆ ขนาดเท่ากันทั้งหมด (monomorphic) กระจายเป็นกลุ่มคล้ายผื่น
ขนาด: ตุ่มมีขนาดเล็ก สม่ำเสมอเหมือนกันทุกตุ่ม ไม่มีตุ่มใหญ่เล็กปะปนกันเหมือนสิวธรรมดา
สี: ตุ่มสีแดง มีวงแดงล้อมรอบเนื่องจากการอักเสบ บางตุ่มอาจมีหัวหนองเล็กๆ สีขาวตรงกลาง แต่ไม่มีหัวดำหรือหัวขาวชัดเจนแบบสิวธรรมดา
การกระจายตัว: กระจายเป็นกลุ่มหนาแน่นแบบสม่ำเสมอ (symmetric clusters) คล้ายผื่นแดง มักเกิดบริเวณที่มีความร้อนและเหงื่อสะสม เช่น หน้าอก หลังส่วนบน หน้าผาก ขมับ ในรายที่รุนแรงอาจลามไปที่แขนส่วนบนหรือเอว
อาการคันเป็นสัญญาณสำคัญของสิวจากยีสต์ใช่หรือไม่?
ใช่ อาการคันเป็นสัญญาณสำคัญที่ช่วยแยกสิวจากยีสต์ออกจากสิวธรรมดา เพราะสิวธรรมดาโดยทั่วไปจะไม่มีอาการคัน
วิธีแยกอาการคันจากสิวเชื้อราและสิวอักเสบทั่วไป
แยกอาการคันจากสิวเชื้อราและสิวอักเสบทั่วไปได้โดยดูจาก สิวเชื้อราจะคันมาก ส่วนสิวอักเสบทั่วไปจะไม่มีอาการคัน
หากมีตุ่มสิวที่คันอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะตุ่มที่มีขนาดเท่ากันและกระจายเป็นกลุ่ม ให้สงสัยว่าเป็นสิวจากเชื้อรา Malassezia folliculitis มากกว่าสิวธรรมดาที่เกิดจากแบคทีเรีย ซึ่งการคันนี้เป็นอาการเฉพาะที่ช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคได้อย่างดี
ควรทำอย่างไรเมื่อมีอาการคันร่วมกับตุ่มสิว
เมื่อมีอาการคันร่วมกับตุ่มสิว ควร หลีกเลี่ยงการเกา หรือแกะตุ่ม และใช้วิธีบรรเทาอาการคันที่เหมาะสม
วิธีจัดการอาการคัน:
- ใช้ยาแก้แพ้ชนิดกิน เช่น cetirizine หรือ diphenhydramine โดยเฉพาะช่วงกลางคืน
- ประคบเย็น ใช้ผ้าห่อน้ำแข็งประคบบริเวณที่คัน 2-3 นาที
- ประคบอุ่น บางกรณีอาจช่วยระบายรูขุมขน ให้เลือกวิธีที่รู้สึกสบายที่สุด
- พบแพทย์ หากมีตุ่มคันขนาดเท่ากันเป็นกลุ่ม อาจเป็นสิวจากเชื้อราที่ต้องใช้ยาต้านเชื้อราเฉพาะ
สิ่งสำคัญคือต้องไม่เกาหรือบีบตุ่ม เพราะอาจทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียเพิ่มหรือเกิดแผลเป็น
สิวจากยีสต์ (เชื้อรา) แตกต่างจากสิวทั่วไปอย่างไร?
สิวจากยีสต์แตกต่างจากสิวทั่วไปตรงที่ เกิดจากเชื้อรา Malassezia แทนที่จะเป็นแบคทีเรีย และมีลักษณะเฉพาะที่สังเกตได้ชัดเจน
ความแตกต่างหลัก:
ลักษณะ | สิวจากยีสต์ | สิวทั่วไป |
---|---|---|
สาเหตุ | เชื้อรา Malassezia | แบคทีเรีย P. acnes |
ลักษณะตุ่ม | ขนาดเท่ากันทั้งหมด (monomorphic) | ขนาดต่างกัน มีทั้งเล็กใหญ่ |
หัวสิว | ไม่มีหัวดำหรือหัวขาว | มีหัวดำและหัวขาวชัดเจน |
อาการคัน | คันมาก | ไม่คัน |
ตำแหน่ง | หน้าอก หลัง มากกว่าหน้า | หน้าเป็นหลัก |
การตอบสนองต่อยา | ไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงกับยาปฏิชีวนะ | ดีขึ้นกับยาปฏิชีวนะ |
การกระจาย | เป็นกลุ่มคล้ายผื่น | กระจายไม่สม่ำเสมอ |
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างสิวเชื้อราและสิวอุดตัน
สิวเชื้อราและสิวอุดตันมี ความแตกต่างที่สำคัญในด้านสาเหตุ ลักษณะ และวิธีรักษา ดังตารางเปรียบเทียบ
หัวข้อ | สิวเชื้อรา (Fungal Acne) | สิวอุดตัน (Comedonal Acne) |
---|---|---|
สาเหตุ | เชื้อรา Malassezia | การอุดตันของรูขุมขนจากไขมันและเซลล์ผิวตาย |
ลักษณะตุ่ม | ตุ่มแดงขนาดเท่ากันทั้งหมด | มีทั้งหัวดำและหัวขาว |
หัวสิว | ไม่มีหัวดำหรือหัวขาว | มีหัวดำ (blackheads) และหัวขาว (whiteheads) |
อาการคัน | คันมาก | ไม่คัน |
การกระจาย | เป็นกลุ่มคล้ายผื่น | กระจายตามรูขุมขน |
ตำแหน่งที่พบ | หน้าอก หลัง หน้าผาก | ใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณ T-zone |
การรักษา | ยาต้านเชื้อรา | ยา Retinoids, BHA, AHA |
การตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะ | ไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง | อาจดีขึ้นเล็กน้อย |
รวมทุกวิธีรักษาสิวจากยีสต์ (เชื้อรา) ที่ได้ผล
การรักษาสิวจากยีสต์ด้วยตัวเองที่บ้าน
การรักษาสิวจากยีสต์ด้วยตัวเองที่บ้านทำได้โดย ใช้แชมพูขจัดรังแคหรือครีมต้านเชื้อราที่ซื้อได้ทั่วไป
วิธีรักษาเบื้องต้นที่บ้าน:
- ใช้แชมพูขจัดรังแค ที่มี Ketoconazole, Selenium sulfide หรือ Zinc pyrithione
- ชโลมบริเวณที่เป็นเหมือนล้างหน้า
- ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออก
- ใช้วันละครั้งเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์
- ทาครีมต้านเชื้อรา ที่มี Clotrimazole หรือ Miconazole (ยารักษาเท้านักกีฬา)
- ทาบริเวณที่เป็นวันละ 1-2 ครั้ง
- ใช้ต่อเนื่องหลายสัปดาห์
- ดูแลผิว
- รักษาความสะอาดและแห้งของผิว
- อาบน้ำทันทีหลังออกกำลังกาย
- เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกเหงื่อทันที
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีน้ำมัน
หมายเหตุ: วิธีเหล่านี้ช่วยได้เฉพาะกรณีอาการน้อย หากไม่ดีขึ้นใน 2-4 สัปดาห์ ควรพบแพทย์
ยาทาเฉพาะที่สำหรับรักษาสิวจากยีสต์
ยาทาเฉพาะที่สำหรับรักษาสิวจากยีสต์ ได้แก่ ยาต้านเชื้อรากลุ่ม azole และแชมพูต้านเชื้อรา
ยาที่ต้องใช้ตามใบสั่งแพทย์:
- Ketoconazole cream/gel – ยาต้านเชื้อราที่มีประสิทธิภาพสูง ทาวันละ 1-2 ครั้ง
- Econazole cream – ยับยั้งการเจริญของเชื้อรา Malassezia
- Selenium sulfide lotion 2.5% – ใช้เป็นยาทาทิ้งไว้แล้วล้างออก
ยาที่ซื้อได้เอง:
- แชมพู Ketoconazole (Nizoral) – ใช้ล้างผิวที่เป็น ทิ้งไว้ 5-10 นาที
- แชมพู Selenium sulfide 1% – ลดปริมาณเชื้อราบนผิว
- แชมพู Zinc pyrithione – มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา
- Clotrimazole/Miconazole cream – ครีมรักษาเท้านักกีฬา ใช้ทาบริเวณที่เป็น
ข้อควรรู้: ยาทาเฉพาะที่มีอัตราหายเพียง 10% ใน 4 สัปดาห์ ต้องใช้นานกว่ายารักษาสิวทั่วไป เพราะเชื้อราอยู่ลึกในรูขุมขน
ยารับประทานสำหรับรักษาสิวจากยีสต์
ยารับประทานสำหรับรักษาสิวจากยีสต์ คือ ยาต้านเชื้อรากลุ่ม azole ได้แก่ itraconazole และ fluconazole
ขนาดยาและระยะเวลา:
- Itraconazole (Sporanox)
- 100-200 มก. วันละครั้ง นาน 1-2 สัปดาห์
- งานวิจัยพบว่า 200 มก./วัน นาน 7 วัน ให้ผลดี
- Fluconazole (Diflucan)
- 100-200 มก. วันละครั้ง นาน 2-3 สัปดาห์
- หรือ 300 มก. สัปดาห์ละครั้ง นาน 2-4 สัปดาห์
ข้อดีของยารับประทาน:
- ออกฤทธิ์ลึกถึงรูขุมขนผ่านกระแสเลือด
- บรรเทาอาการคันและตุ่มได้เร็ว
- อัตราหายสูงเมื่อใช้ร่วมกับยาทา (เกือบ 100% ใน 4 สัปดาห์)
ข้อควรระวัง:
- ต้องใช้ตามคำสั่งแพทย์เท่านั้น
- งดดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างใช้ยา
- อาจต้องตรวจการทำงานของตับหากใช้นานกว่า 2 สัปดาห์
วิธีป้องกันสิวจากยีสต์ (เชื้อรา) ไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ
ป้องกันสิวจากยีสต์ไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำได้โดย รักษาผิวให้สะอาดและแห้ง พร้อมใช้ผลิตภัณฑ์ต้านเชื้อราเป็นประจำ
วิธีป้องกันระยะยาว:
- รักษาความสะอาดและแห้ง
- อาบน้ำทันทีหลังออกกำลังกายหรือเหงื่อออกมาก
- เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกเหงื่อทันที
- ใช้พัดลมหรือแอร์ในอากาศร้อนชื้น
- อาบน้ำวันละ 2 ครั้งหากเหงื่อออกมาก
- ใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกัน
- ใช้แชมพูขจัดรังแคล้างตัวสัปดาห์ละครั้ง
- ทาครีม ketoconazole เป็นครั้งคราวบริเวณที่เคยเป็น
- ใช้แป้งต้านเชื้อราทาบริเวณหลังหรือหน้าอก
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม
- หลีกเลี่ยงครีมที่มีน้ำมันหนัก (น้ำมันมะพร้าว, มะกอก)
- ใช้โลชั่นเนื้อบางไม่อุดตันรูขุมขน
- เลือกผลิตภัณฑ์ “fungal-safe”
- การรักษาป้องกันสำหรับผู้ที่เป็นบ่อย
- แพทย์อาจให้ fluconazole 200 มก. เดือนละครั้ง
- หรือ itraconazole เป็นคอร์สสั้นๆ ทุก 2-3 เดือน
อาหารที่ควรรับประทานและควรหลีกเลี่ยง
ควรรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลต่ำและหลีกเลี่ยง อาหารที่มีน้ำตาลสูง ไขมันไม่ดี และอาหารที่มียีสต์
อาหารที่ควรรับประทาน:
- ผักใบเขียวและผักหลากชนิด
- โปรตีนไม่ติดมัน (ไก่ ปลา)
- ไขมันดี (อะโวคาโด ถั่ว)
- อาหารที่มีวิตามิน A, C, E และซิงก์
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง:
- ขนมหวาน ลูกอม น้ำอัดลม
- อาหารแป้งและคาร์โบไฮเดรตสูง
- อาหารทอดและไขมันอิ่มตัว
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- อาหารที่มียีสต์ (ขนมปัง เบียร์)
หลักการ: แม้ว่าอาหารเพียงอย่างเดียวไม่สามารถรักษาสิวจากยีสต์ได้ แต่การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบ ทำให้อาการไม่รุนแรงและเป็นซ้ำน้อยลง
การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ถูกต้อง
เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ “fungal-safe” หรือไม่มีส่วนผสมที่เป็นอาหารของเชื้อรา
ผลิตภัณฑ์ที่ควรใช้:
- ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
- คลีนเซอร์ที่มี pH สมดุล
- แชมพูขจัดรังแคใช้ล้างตัว (ketoconazole, zinc pyrithione)
- มอยส์เจอไรเซอร์
- โลชั่นเนื้อบางไม่อุดตัน
- มีส่วนผสม mineral oil หรือ petrolatum (ปลอดภัย)
- หลีกเลี่ยงครีมเนื้อหนักที่มีน้ำมันพืช
- ส่วนผสมที่ดี
- Niacinamide (วิตามิน B3) – ลดความมัน
- Zinc pyrithione/gluconate – ต้านเชื้อรา
- Salicylic acid (BHA) – ผลัดเซลล์ผิว
- Propolis – ต้านเชื้อราธรรมชาติ
สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง:
- น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก และน้ำมันพืชอื่นๆ
- ส่วนผสมหมัก (fermented ingredients)
- Fatty esters และไขมันอิ่มตัว
- ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันรูขุมขน
คำแนะนำ: ตรวจสอบส่วนผสมทุกครั้งก่อนใช้ เลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “oil-free” หรือ “non-comedogenic”
สิวจากยีสต์ (เชื้อรา) สามารถเกิดขึ้นบริเวณใดได้บ้าง?
สิวจากยีสต์สามารถเกิดได้ที่ บริเวณที่มีต่อมไขมันมาก โดยเฉพาะหน้าอก หลัง และใบหน้า
บริเวณที่พบบ่อย:
- หน้าอกส่วนบน – พื้นที่ที่พบมากที่สุด
- หลัง – โดยเฉพาะหลังส่วนบน
- ใบหน้า – บริเวณหน้าผาก ขมับ
- ไหล่และต้นแขน – ในกรณีที่รุนแรง
- เอว – พบได้ในบางกรณี
ลักษณะการเกิด:
- มักเกิดเป็นกลุ่มแบบสมมาตร
- เกิดในบริเวณที่มีความร้อนและเหงื่อสะสม
- พบมากในบริเวณที่ถูกเสื้อผ้ารัดหรือเสียดสี
ข้อสังเกต: สิวจากยีสต์มักเกิดที่ลำตัวมากกว่าสิวธรรมดาที่มักเน้นบริเวณใบหน้า การกระจายตัวนี้เป็นเบาะแสสำคัญในการวินิจฉัยแยกจากสิวจากแบคทีเรีย
สิวจากยีสต์บริเวณใบหน้าและหน้าผาก
สิวจากยีสต์บริเวณใบหน้าและหน้าผากมักเป็น ตุ่มเล็กๆ ขนาดเท่ากันจำนวนมากที่หน้าผากและขมับ
ลักษณะเฉพาะ:
- ตุ่มขนาดเล็กเท่าๆ กัน (monomorphic)
- มักเป็นกลุ่มหนาแน่นบริเวณหน้าผาก
- อาจลามไปที่ขมับทั้งสองข้าง
- มีอาการคันร่วมด้วย
- ไม่มีสิวหัวดำหรือหัวขาวแบบสิวธรรมดา
การรักษา:
- ใช้แชมพูต้านเชื้อราล้างหน้า (ketoconazole, zinc pyrithione)
- ทิ้งไว้ 5-10 นาทีก่อนล้างออก
- อาจต้องใช้ยาทาหรือยากินร่วมด้วย
ข้อควรระวัง: หลีกเลี่ยงครีมบำรุงที่มีน้ำมันหนักบริเวณใบหน้า เพราะจะเป็นอาหารของเชื้อราทำให้อาการแย่ลง
สิวจากยีสต์บริเวณหลัง หน้าอก และลำตัว
สิวจากยีสต์บริเวณหลัง หน้าอก และลำตัวเป็น บริเวณที่พบมากที่สุดและมักเป็นเป็นกลุ่มสมมาตร
ลักษณะการเกิด:
- หน้าอกส่วนบน – ตุ่มแดงเป็นกลุ่มหนาแน่น คันมาก
- หลังส่วนบน – มักเป็นทั้งสองข้างคล้ายกัน
- ไหล่และต้นแขน – ลามไปได้เมื่ออาการรุนแรง
- บริเวณเอว – พบในกรณีที่เป็นมาก
สาเหตุที่เป็นบ่อย:
- บริเวณที่มีความร้อนชื้นและเหงื่อสะสม
- ถูกเสื้อผ้ารัดหรือไม่ระบายอากาศ
- มีต่อมไขมันมาก เหมาะกับการเจริญของเชื้อรา
การรักษา:
- ใช้แชมพูต้านเชื้อราล้างตัว (ketoconazole, selenium sulfide)
- ทาทิ้งไว้ 5-10 นาทีทุกวัน
- เปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีเมื่อเหงื่อออก
- อาบน้ำทันทีหลังออกกำลังกาย
คำแนะนำ: พื้นที่ลำตัวมักตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่าใบหน้า แต่ต้องใช้เวลานานกว่าเพราะผิวหนา
References
-
Apollo Hospitals – apollohospitals.com
-
Cleveland Clinic – clevelandclinic.org
-
DermNet New Zealand – dermnetnz.org
-
Formel Skin (Germany) – formelskin.de
-
Healthline – healthline.com
-
Infectious Disease Advisor – infectiousdiseaseadvisor.com
-
Kepu China (Popular Science China) – kepuchina.cn
-
Mayo Clinic – mayoclinic.org