สิวที่หลัง: สาเหตุ การรักษา และการป้องกัน
สิวที่หลังเกิดจากอะไร? 5 สาเหตุหลักที่พบบ่อย
1. การอุดตันของรูขุมขนจากเซลล์ผิวและไขมัน
สิวอุดตัน (Comedonal acne) คือสิวที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนที่ไม่เกิดการอักเสบ ซึ่งปรากฏในรูปแบบของสิวหัวขาว (comedones แบบปิด) หรือสิวหัวดำ (comedones แบบเปิด) สิวหัวขาวคือตุ่มเล็กๆ ที่มีเคราตินและไขมันอุดตันอยู่ภายใน ในขณะที่สิวหัวดำจะมีช่องเปิดของรูขุมขนที่กว้างขึ้นและมีเศษซากที่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนจนกลายเป็นสีเข้ม
2. ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในร่างกาย
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนแอนโดรเจน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสิวที่หลัง
ฮอร์โมนแอนโดรเจนที่เพิ่มขึ้น (โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่น) จะไปกระตุ้นให้ผนังรูขุมขนหนาขึ้นและเพิ่มการผลิตน้ำมัน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว นอกจากนี้ ความเครียดเรื้อรังยังสามารถทำให้สิวแย่ลงได้ เนื่องจากร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลและแอนโดรเจนเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผลิตน้ำมันมากขึ้นเช่นกัน
3. การเสียดสีจากเสื้อผ้าและเหงื่อ
การเสียดสีและเหงื่อเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสิวที่หลัง ซึ่งเรียกว่า “acne mechanica” (สิวจากแรงกล) โดยแรงกดและการเสียดสีจากสายกระเป๋าเป้ อุปกรณ์กีฬา หรือเสื้อผ้าที่รัดแน่น ร่วมกับเหงื่อที่สะสม จะทำให้รูขุมขนระคายเคืองและเกิดเป็นสิวขึ้น
นอกจากนี้ สภาพอากาศที่ร้อนชื้นและการสวมใส่เสื้อผ้าที่อับเหงื่อยังเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อยีสต์ ซึ่งเป็นสาเหตุของสิวผด (Malassezia folliculitis) ได้อีกด้วย การอาบน้ำทันทีหลังมีเหงื่อออกจึงเป็นหนึ่งในวิธีป้องกันสิวที่หลังที่มีประสิทธิภาพ
4. ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อาจทำให้สิวที่หลังแย่ลงได้คือ โลชั่นที่มีส่วนผสมของน้ำมัน ครีมกันแดดที่อุดตันรูขุมขน หรือครีมนวดผมที่ตกค้างอยู่บนหลัง
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้สามารถเข้าไปอุดตันรูขุมขนและกระตุ้นให้เกิดสิวได้ ดังนั้นจึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวกายและครีมกันแดดที่เป็นสูตร “non-comedogenic” (ไม่อุดตันรูขุมขน) และปราศจากน้ำมัน นอกจากนี้ น้ำยาปรับผ้านุ่มที่มีส่วนผสมเข้มข้นก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สิวที่หลังกำเริบได้เช่นกัน
5. ปัจจัยทางพันธุกรรมและพฤติกรรมการใช้ชีวิต
ปัจจัยทางพันธุกรรมและพฤติกรรมการใช้ชีวิตมีส่วนทำให้เกิดสิวที่หลังได้ โดยหากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นสิว ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นสิวได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ พฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่างยังสามารถกระตุ้นให้สิวรุนแรงขึ้นได้อีกด้วย
- อาหาร: การรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (เช่น ของหวานและคาร์โบไฮเดรตขาว) อาจทำให้น้ำมันบนผิวเพิ่มขึ้นและการอักเสบรุนแรงขึ้น
- ความเครียด: ความเครียดที่รุนแรงจะเพิ่มระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งกระตุ้นการผลิตน้ำมันและการอักเสบ
7 วิธีรักษาสิวที่หลังด้วยตัวเองให้ได้ผลจริง
ขั้นตอนที่ 1: ทำความสะอาดแผ่นหลังอย่างถูกวิธี
ขั้นตอนแรกคือการทำความสะอาดแผ่นหลังอย่างอ่อนโยน โดยหลีกเลี่ยงการใช้ใยบวบ แปรงขัดผิว หรือสครับที่รุนแรงซึ่งอาจทำให้สิวแย่ลง
- ใช้มือหรือผ้านุ่มๆ: ในการทำความสะอาดแผ่นหลัง
- อาบน้ำทันที: หลังออกกำลังกายหรือมีเหงื่อออกมาก เพื่อชำระล้างเหงื่อและแบคทีเรีย
- ซับผิวให้แห้ง: ใช้ผ้าขนหนูสะอาดซับเบาๆ แทนการถูแรงๆ
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม: หากใช้สบู่หรือโฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของยา เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) ควรทิ้งไว้บนผิว 2-5 นาทีก่อนล้างออกเพื่อให้ยาทำงานได้ดีขึ้น
ขั้นตอนที่ 2: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับรักษาสิวที่หลังโดยเฉพาะ
ขั้นตอนที่ 2 ในการรักษาสิวที่หลังคือ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เองซึ่งมีส่วนผสมสำคัญ เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (BPO), กรดซาลิไซลิก, อะแดพาลีน และซัลเฟอร์ (กำมะถัน) ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ช่วยจัดการกับสิวที่ไม่รุนแรงได้
ผลิตภัณฑ์ที่แนะนำสำหรับใช้รักษาสิวที่หลังด้วยตนเอง ได้แก่:
- เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide – BPO): ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าหรือครีมอาบน้ำที่มี BPO ความเข้มข้นประมาณ 5% ทิ้งไว้บนผิว 2-5 นาทีก่อนล้างออกเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): มีในรูปแบบสเปรย์โทนเนอร์หรือแผ่นเช็ดทำความสะอาด ซึ่งช่วยให้ทาบริเวณที่เข้าถึงยากได้ง่ายขึ้น และช่วยสลายสิ่งอุดตันในรูขุมขน
- อะแดพาลีน (Adapalene): เป็นเรตินอยด์ชนิดทาที่ช่วยป้องกันการอุดตันของรูขุมขน สามารถใช้สลับกับ BPO ได้ เช่น ใช้ BPO ในตอนเช้าและอะแดพาลีนในตอนกลางคืน
- ซัลเฟอร์ (Sulfur): สบู่ก้อนหรือขี้ผึ้งที่มีส่วนผสมของซัลเฟอร์เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายและไม่สามารถทนต่อ BPO ได้ โดยจะช่วยให้สิวแห้งและลดรอยแดง
ขั้นตอนที่ 3: สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี
คุณสามารถจัดการและป้องกันสิวที่หลังได้โดยปฏิบัติตามขั้นตอนด้านสุขอนามัย การดูแลผิว และการใช้ชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
- รักษาความสะอาดอย่างถูกวิธี อาบน้ำทันทีหลังออกกำลังกายหรือเมื่อมีเหงื่อออกมากเพื่อชำระล้างเหงื่อและแบคทีเรีย ควรทำความสะอาดอย่างอ่อนโยนด้วยมือหรือผ้านุ่มๆ และหลีกเลี่ยงการขัดถูผิวแรงๆ
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและครีมกันแดดที่ระบุว่า “non-comedogenic” เพื่อหลีกเลี่ยงการอุดตันของรูขุมขน รวมถึงพิจารณาใช้ผงซักฟอกที่อ่อนโยนและปราศจากน้ำหอม
- สวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสมและลดการเสียดสี เลือกเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ซักชุดออกกำลังกายทุกครั้งหลังใช้ และหลีกเลี่ยงแรงกดทับหรือการเสียดสีจากสายกระเป๋าเป้ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดสิวได้
- หลีกเลี่ยงการแกะหรือบีบสิว การกระทำดังกล่าวอาจทำให้อาการอักเสบแย่ลงและเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็น ควรใช้ยาทาเฉพาะจุด เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) เพื่อช่วยให้สิวยุบลง
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต จัดการความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ และพิจารณาลดอาหารที่มีน้ำตาลสูง เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้สามารถกระตุ้นการผลิตน้ำมันและการอักเสบของผิวได้
ขั้นตอนที่ 4: หลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะสิว
การบีบหรือแกะสิวที่หลังอาจทำให้อาการอักเสบรุนแรงขึ้น และเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดแผลเป็น
การกระทำดังกล่าวอาจดันแบคทีเรียและสิ่งสกปรกลงไปในผิวหนังลึกกว่าเดิม แทนที่จะบีบสิว แนะนำให้ใช้ยาทาเฉพาะจุด เช่น เจลเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ และปล่อยให้สิวหายเองตามธรรมชาติ เนื่องจากการรักษาสิวที่หลังด้วยตนเองเป็นเรื่องยาก การพยายามกดสิวจึงอาจก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
ขั้นตอนที่ 5: ซักทำความสะอาดผ้าปูที่นอนเป็นประจำ
ควรเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการสะสมของเหงื่อและแบคทีเรียในบริเวณที่หลังของคุณสัมผัส นอกจากนี้ ควรพิจารณาใช้ผลิตภัณฑ์ซักผ้าที่อ่อนโยนและปราศจากน้ำหอม และอาจข้ามการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มไปก่อน เนื่องจากสารตกค้างอาจกระตุ้นให้เกิดสิวที่ลำตัวได้
ขั้นตอนที่ 6: ปรับพฤติกรรมการกินเพื่อลดการอักเสบ
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินสามารถช่วยลดสิวที่หลังได้ โดยเน้นการลดอาหารที่กระตุ้นการอักเสบและเพิ่มสารอาหารที่ช่วยฟื้นฟูผิว
การปรับเปลี่ยนที่แนะนำมีดังนี้:
- ลด: ของว่างที่มีน้ำตาลสูง, คาร์โบไฮเดรตขัดขาว, นมพร่องมันเนย และผลิตภัณฑ์เวย์โปรตีน
- เพิ่ม: อาหารที่มีโอเมก้า 3, สารต้านอนุมูลอิสระ (จากผักและผลไม้) และโปรตีนเพื่อช่วยในการซ่อมแซมผิว
- ดื่มน้ำ: การดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยให้ผิวมีความสมดุล
ขั้นตอนที่ 7: จัดการความเครียดและการพักผ่อนให้เพียงพอ
การจัดการความเครียดและการพักผ่อนให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากความเครียดเรื้อรังสามารถทำให้สิวที่หลังแย่ลงได้โดยการเพิ่มระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลและแอนโดรเจน ซึ่งจะไปกระตุ้นการผลิตน้ำมันบนผิวหนัง
เทคนิคต่างๆ เช่น การนอนหลับให้เพียงพอ การออกกำลังกาย การทำสมาธิ หรือโยคะ สามารถช่วยควบคุมความเครียดได้ ผู้ป่วยจำนวนมากสังเกตเห็นว่าสิวลดลงเมื่อให้ความสำคัญกับการคลายความเครียดและตารางการนอนที่สม่ำเสมอ
สิวที่หลังมีกี่ประเภท และแต่ละแบบรักษายังไง?
สิวที่หลังมี 3 ประเภทหลัก ได้แก่ สิวอุดตัน สิวอักเสบ และสิวจากเชื้อรา ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะและการรักษาที่แตกต่างกัน
- สิวอุดตัน (Comedonal Acne): เป็นสิวที่ไม่อักเสบ มีลักษณะเป็นสิวหัวขาวและสิวหัวดำ ทำให้ผิวรู้สึกขรุขระแต่ไม่เจ็บ
- การรักษา: ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว เช่น ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) หรือผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) เพื่อช่วยสลายสิ่งอุดตัน
- สิวอักเสบ (Inflammatory Acne): เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขน ทำให้เกิดตุ่มแดงเจ็บ (Papules) และตุ่มหนอง (Pustules)
- การรักษา: เน้นการลดเชื้อแบคทีเรียและการอักเสบ โดยใช้เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือยาปฏิชีวนะชนิดทา ในกรณีที่รุนแรงอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานหรือไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin)
- สิวจากเชื้อรา (Fungal Acne): เกิดจากเชื้อยีสต์เจริญเติบโตมากผิดปกติในรูขุมขน มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ ขนาดเท่าๆ กันจำนวนมาก และมักมีอาการคัน
- การรักษา: ใช้ยาต้านเชื้อรา เช่น แชมพูหรือสบู่ยาที่มีส่วนผสมของคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) หรือซิงค์ ไพริไธโอน (Zinc Pyrithione) หากเป็นมากอาจต้องใช้ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทาน
สิวอุดตัน (Comedones)
สิวอุดตัน (Comedonal acne) คือสิวที่เกิดจากการอุดตันในรูขุมขนและไม่มีการอักเสบ โดยมีลักษณะเป็นสิวหัวขาว (สิวอุดตันหัวปิด) หรือสิวหัวดำ (สิวอุดตันหัวเปิด)
สิวหัวขาวเกิดจากเคราตินและไขมันที่อุดตันอยู่ภายในรูขุมขนที่ปิดสนิท ส่วนสิวหัวดำเกิดจากรูขุมขนที่เปิดออก ทำให้สิ่งที่อุดตันอยู่ภายในสัมผัสกับอากาศและเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันจนกลายเป็นสีดำ สิวประเภทนี้มักทำให้ผิวรู้สึกขรุขระแต่ไม่มีอาการเจ็บ
สิวหัวดำ (Blackheads) คืออะไร?
สิวหัวดำคือสิวอุดตันชนิดหนึ่งที่ไม่เกิดการอักเสบ หรือที่เรียกว่าสิวหัวเปิด (open comedones) ซึ่งมีลักษณะเป็นรูขุมขนที่ขยายกว้างออก โดยมีเศษซากเคราตินและน้ำมันที่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนจนกลายเป็นสีดำที่ปลาย
สิวหัวขาว (Whiteheads) แตกต่างกันอย่างไร?
สิวหัวขาวคือสิวอุดตันหัวปิด (closed comedones) ในขณะที่สิวหัวดำคือสิวอุดตันหัวเปิด (open comedones) สิวหัวขาวเป็นตุ่มเล็กๆ ที่มีเคราตินและน้ำมันอุดตันอยู่ภายใน ส่วนสิวหัวดำจะมีรูขุมขนที่เปิดกว้าง ทำให้สิ่งอุดตันทำปฏิกิริยากับออกซิเจนและกลายเป็นสีดำ
สิวอักเสบ (Inflammatory Acne)
สิวอักเสบคือตุ่มและสิวที่แดงและเจ็บปวดซึ่งเกิดจากแบคทีเรียและปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันในรูขุมขนที่อุดตัน สิวประเภทนี้รวมถึงตุ่มแดง (papules) และตุ่มหนอง (pustules) ไปจนถึงก้อนนูนและซีสต์ในกรณีที่รุนแรง การรักษามุ่งเน้นไปที่การลดแบคทีเรียและการอักเสบ โดยใช้ส่วนผสมที่หาซื้อได้เองอย่างเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (BPO) หรือยาที่แพทย์สั่ง เช่น ยาปฏิชีวนะชนิดทาหรือเรตินอยด์สำหรับกรณีปานกลาง และยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานหรือไอโซเตรติโนอินสำหรับกรณีที่รุนแรงมาก
สิวตุ่มแดง (Papules) และสิวหัวหนอง (Pustules)
สิวตุ่มแดง (Papules) และสิวหัวหนอง (Pustules) เป็นสิวอักเสบที่เกิดจากแบคทีเรียและปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันในรูขุมขนที่อุดตัน
สิวตุ่มแดงคือตุ่มแดงที่เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บ ในขณะที่สิวหัวหนองคือตุ่มที่มีหนองอยู่ข้างใน การรักษาสิวประเภทนี้มุ่งเน้นไปที่การลดแบคทีเรียและการอักเสบ โดยมักใช้ส่วนผสมอย่างเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide)
สิวหัวช้าง หรือ สิวซีสต์ (Nodules/Cysts)
สิวหัวช้างหรือสิวซีสต์ (Nodules/Cysts) คือสิวอักเสบชนิดรุนแรงที่มีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่และเจ็บปวด ซึ่งเกิดจากแบคทีเรียและปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันในรูขุมขนที่อุดตันอยู่ลึกใต้ผิวหนัง
เนื่องจากเป็นสิวที่มีความรุนแรงและอยู่ลึก การรักษาจึงมักต้องใช้ยารับประทาน เช่น ยาปฏิชีวนะหรือไอโซเตรติโนอิน (isotretinoin) ในบางกรณีแพทย์อาจพิจารณาการรักษาเฉพาะที่ เช่น การฉีดสเตียรอยด์เข้าไปในตุ่มสิวโดยตรงเพื่อลดการอักเสบอย่างรวดเร็ว หรือการกรีดและระบายหนองออกเพื่อช่วยให้สิวยุบเร็วขึ้นและป้องกันการเกิดแผลเป็น
สิวจากเชื้อรา (Fungal Acne)
สิวจากเชื้อรา หรือทางการแพทย์เรียกว่า Malassezia folliculitis คือ ผื่นตุ่มเล็กๆ ที่มีลักษณะคล้ายกันและมีอาการคัน ซึ่งเกิดจากการเจริญเติบโตของเชื้อรายีสต์ที่มากเกินไปในรูขุมขน และไม่ใช่สิวอักเสบที่เกิดจากแบคทีเรีย
สิวจากเชื้อรามักพบบริเวณหลังส่วนบน หน้าอก หรือหัวไหล่ โดยมีปัจจัยกระตุ้นจากความร้อน ความชื้น และเหงื่อ อาการคันคือลักษณะเด่นที่ช่วยแยกสิวชนิดนี้ออกจากสิวทั่วไปซึ่งมักไม่มีอาการคัน การรักษาจะใช้ยาต้านเชื้อรา เช่น แชมพูหรือสบู่ที่มีส่วนผสมของคีโตโคนาโซล (ketoconazole) เนื่องจากยารักษาสิวทั่วไปมักไม่ได้ผล
แนะนำ 5 ผลิตภัณฑ์สำหรับรักษาสิวที่หลัง (สบู่ ครีม สเปรย์)
สบู่รักษาสิวที่หลัง
สบู่ที่ช่วยรักษาสิวที่หลังได้มักมีส่วนผสมของ เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide), กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) หรือซัลเฟอร์ (Sulfur)
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป ดังนี้
- เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (BPO): เป็นส่วนผสมสำคัญที่หาซื้อได้เอง มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวและลดการอักเสบ ควรเริ่มใช้ที่ความเข้มข้นประมาณ 5% และทิ้งไว้บนผิว 2-5 นาทีก่อนล้างออก
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): ช่วยละลายสิ่งที่อุดตันในรูขุมขนและป้องกันการเกิดสิวอุดตันใหม่
- ซัลเฟอร์ (Sulfur): สบู่ก้อนหรือขี้ผึ้งที่มีส่วนผสมของซัลเฟอร์ 5-10% ช่วยทำให้สิวแห้งและลดรอยแดง มักแนะนำสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายและไม่สามารถทนต่อ BPO ได้
นอกจากนี้ หากสิวที่หลังเป็นสิวผดจากเชื้อรา (Fungal Acne) ซึ่งมักมีอาการคันร่วมด้วย ควรใช้แชมพูหรือสบู่ต้านเชื้อราที่มีส่วนผสมของคีโตโคนาโซล (ketoconazole) หรือซิงค์ ไพริไธโอน (zinc pyrithione) แทน
ครีมและยาทาเพื่อรักษาสิวที่หลัง
ครีมและยาทาสำหรับรักษาสิวที่หลังมีหลายชนิด ได้แก่ เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (BPO) กรดซาลิไซลิก เรตินอยด์ ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่ กรดอะซีลาอิก และซัลเฟอร์
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป ดังนี้
- เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide – BPO): เป็นส่วนผสมสำคัญที่หาซื้อได้เอง ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ มักใช้ในรูปแบบผลิตภัณฑ์ล้างหน้าหรือเจลแต้มสิว
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): ช่วยผลัดเซลล์ผิวและสลายสิ่งอุดตันในรูขุมขน มีในรูปแบบผลิตภัณฑ์ล้างหน้า โทนเนอร์ หรือแผ่นเช็ดทำความสะอาด
- เรตินอยด์ (Retinoids): เช่น อะแดพาลีน (adapalene) หรือ ไตรฟาโรทีน (trifarotene) มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาสิวอุดตันโดยช่วยให้การผลัดเซลล์ผิวเป็นปกติ
- ยาปฏิชีวนะชนิดทา (Topical Antibiotics): แพทย์ผิวหนังมักสั่งใช้ร่วมกับ BPO เพื่อรักษาสิวอักเสบระดับปานกลาง
- กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): ช่วยลดการอักเสบและแบคทีเรีย ทั้งยังช่วยลดรอยดำหลังสิวหายได้อีกด้วย
- ซัลเฟอร์ (Sulfur) หรือกำมะถัน: มีคุณสมบัติช่วยให้สิวแห้งและลดรอยแดง มักเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย
- ผลิตภัณฑ์ต้านเชื้อรา (Antifungals): สำหรับสิวที่เกิดจากเชื้อรา (Malassezia folliculitis) จะใช้แชมพูหรือผลิตภัณฑ์ล้างตัวที่มีส่วนผสมของคีโตโคนาโซล (ketoconazole)
สเปรย์ฉีดสิวที่หลัง
สเปรย์โทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิกสามารถใช้ฉีดบริเวณที่เป็นสิวที่หลังได้โดยตรง
นอกจากนี้ สเปรย์กันแดดก็มีความสะดวกในการใช้กับบริเวณที่เข้าถึงยากเช่นกัน ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันไม่ให้รอยสิวคล้ำขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้ยารักษาสิวกลุ่มอื่นร่วมด้วย
จะรักษารอยสิวที่หลังได้อย่างไร?
การรักษารอยสิวที่หลังสามารถทำได้โดยใช้ยาทาเฉพาะที่ การป้องกันแสงแดด และการทำหัตถการโดยผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากผิวหนังบริเวณหลังมีความหนาและผลัดเซลล์ผิวได้ช้ากว่าส่วนอื่น รอยสิวจึงอาจใช้เวลา 6-12 เดือนหรือนานกว่านั้นในการจางลง
กลยุทธ์ในการรักษารอยสิวที่หลังมีดังนี้:
- การใช้ยาทาเฉพาะที่: ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดรอยสิวได้ ได้แก่
- เรตินอยด์ (Retinoids): เช่น Adapalene หรือ Tretinoin ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว
- กรดอะซีลาอิก (Azelaic acid): ช่วยลดการอักเสบและรอยดำ
- ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): ช่วยให้ผิวกระจ่างใสและลดเลือนจุดด่างดำ
- วิตามินซี (Vitamin C): ช่วยลดการอักเสบและทำให้รอยดำจางลง
- การป้องกันแสงแดด: การใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30+ ขึ้นไปเป็นประจำ จะช่วยป้องกันไม่ให้รอยสิวมีสีเข้มขึ้นและช่วยให้รอยจางลงได้เร็วขึ้น ครีมกันแดดแบบสเปรย์จะช่วยให้ทาบริเวณหลังได้สะดวก
- การทำหัตถการโดยผู้เชี่ยวชาญ: หากการรักษาด้วยยาทาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร อาจพิจารณาการลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical peels) โดยแพทย์ผิวหนังเพื่อช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว
การใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยดำและรอยแดง
ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดรอยดำและรอยแดงจากสิวที่หลังได้แก่ เรตินอยด์ชนิดทา, กรดอะซีลาอิก, ไนอะซินาไมด์ และวิตามินซี ซึ่งสามารถใช้ทาบริเวณที่เป็นรอยได้วันละ 1-2 ครั้ง
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีคุณสมบัติดังนี้:
- เรตินอยด์ชนิดทา (Topical Retinoids): เช่น อะแดพาลีน (Adapalene) หรือเตรติโนอิน (Tretinoin) เป็นหัวใจสำคัญในการรักษาสิวและช่วยลดเลือนรอยสิวโดยการเร่งการผลัดเซลล์ผิว
- กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): มีประสิทธิภาพในการลดรอยดำที่เกิดหลังการอักเสบ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation)
- ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): หรือวิตามินบี 3 ที่ความเข้มข้น 4-5% ช่วยให้ผิวกระจ่างใสและลดเลือนรอยดำ
- วิตามินซี (Vitamin C): ช่วยลดการอักเสบและทำให้รอยดำจางลง
นอกจากนี้ การใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปเป็นประจำจะช่วยป้องกันไม่ให้รอยดำเข้มขึ้นและช่วยให้รอยจางลงได้เร็วขึ้น
การทำเลเซอร์เพื่อรักษารอยสิวที่หลัง
การทำเลเซอร์เป็นหนึ่งในวิธีการรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่หลัง และมักใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
โดยทั่วไปแล้ว แพทย์ผิวหนังที่เชี่ยวชาญด้านการรักษาแผลเป็นมักจะแนะนำการรักษาแบบผสมผสาน เช่น การทำเลเซอร์ร่วมกับการทำไมโครนีดลิง (microneedling) แม้ว่ารอยแผลเป็นที่หลังจะรักษายากและอาจไม่หายสนิท แต่การรักษาด้วยวิธีที่ทันสมัยสามารถช่วยให้ลักษณะและผิวสัมผัสของรอยแผลเป็นดีขึ้นได้อย่างมาก
วิธีรักษารอยสิวที่หลังด้วยวิธีธรรมชาติ
จากข้อมูลที่ให้มา การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซีและไนอะซินาไมด์ (วิตามินบี 3) เป็นวิธีที่ช่วยลดเลือนรอยสิวที่หลังได้ ส่วนผสมเหล่านี้มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับว่าช่วยให้รอยสิวจางลงได้
- ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): ความเข้มข้น 4-5% สามารถช่วยปรับสีผิวให้สว่างขึ้นและลดเลือนจุดด่างดำ
- วิตามินซี (Vitamin C): ช่วยลดการอักเสบและทำให้เม็ดสีจางลง ซึ่งมีประสิทธิภาพในการจัดการกับรอยแดงและรอยดำจากสิว
นอกจากนี้ การป้องกันแสงแดดด้วยการทาครีมกันแดด SPF 30+ เป็นประจำ จะช่วยป้องกันไม่ให้รอยสิวเข้มขึ้นและช่วยให้รอยจางลงได้เร็วขึ้น
การรักษาสิวที่หลังโดยแพทย์ผิวหนังมีวิธีใดบ้าง?
การรักษาสิวที่หลังโดยแพทย์ผิวหนังมีทั้งการใช้ยาทาเฉพาะที่ ยารับประทาน และการทำหัตถการในคลินิก ซึ่งมักจะใช้หลายวิธีร่วมกันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การรักษาโดยแพทย์ผิวหนังแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้
- ยาทาเฉพาะที่ตามใบสั่งแพทย์:
- ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Prescription Retinoids): เช่น Trifarotene ซึ่งได้รับการอนุมัติสำหรับรักษาสิวบริเวณลำตัวโดยเฉพาะ
- ยาปฏิชีวนะชนิดทาและยาอื่นๆ: เช่น ยาแดพโซน (Dapsone) และกรดอะซีลาอิก (Azelaic acid) เพื่อลดการอักเสบและรอยสิว
- ยารับประทาน:
- ยาปฏิชีวนะ (Oral Antibiotics): เช่น Doxycycline หรือ Minocycline สำหรับสิวอักเสบระดับปานกลางถึงรุนแรง
- ยาไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin): เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับสิวที่เป็นก้อนลึก รุนแรง หรือดื้อต่อการรักษาอื่นๆ
- การรักษาด้วยฮอร์โมน (Hormonal Therapies): เช่น ยาสไปโรโนแลคโตน (Spironolactone) มักใช้ในผู้หญิงที่เป็นสิวจากฮอร์โมน
- ยาต้านเชื้อรา (Oral Antifungals): ใช้ในกรณีที่สิวเกิดจากเชื้อรา (Fungal acne)
- หัตถการในคลินิก:
- การฉีดสเตียรอยด์ (Corticosteroid Injections): เพื่อลดการอักเสบของสิวหัวช้างหรือสิวซีสต์อย่างรวดเร็ว
- การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ (Professional Extractions): เพื่อกำจัดสิวอุดตันอย่างถูกวิธี
- การกรีดและระบายหนอง (Incision and Drainage): สำหรับฝีสิวขนาดใหญ่ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น
- การบำบัดด้วยแสงและเลเซอร์ (Light and Laser Therapies): อาจใช้เป็นทางเลือกเสริมสำหรับผู้ป่วยบางราย
การใช้ยารับประทานและยาทา
การรักษาสิวที่หลังมีทั้งยาทาและยารับประทาน ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ตามประเภทและความรุนแรงของสิว
ยาทาและยารับประทานที่ใช้รักษาสิวที่หลังโดยทั่วไป ได้แก่
ยาทา (Topical Medications)
- เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide – BPO): ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย C. acnes และลดการอักเสบ
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): ช่วยละลายสิ่งที่อุดตันในรูขุมขนและป้องกันการเกิดสิวอุดตันใหม่
- เรตินอยด์ (Retinoids): เช่น Adapalene, Tretinoin และ Trifarotene ช่วยปรับการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นปกติและลดการอุดตัน
- ยาปฏิชีวนะชนิดทา (Topical Antibiotics): มักใช้ร่วมกับ BPO เพื่อจัดการกับเชื้อแบคทีเรีย
- กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): ช่วยลดการอักเสบและรอยดำหลังสิวหาย
ยารับประทาน (Oral Medications)
- ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics): เช่น Doxycycline และ Minocycline ใช้สำหรับสิวอักเสบระดับปานกลางถึงรุนแรง โดยจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและลดการอักเสบ
- ไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin): เป็นยารับประทานกลุ่มเรตินอยด์ที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับสิวชนิดรุนแรงหรือสิวซีสต์ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
- ยาฮอร์โมน (Hormonal Therapies): เช่น Spironolactone ใช้สำหรับสิวในผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่ โดยออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมนแอนโดรเจนซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว
- ยาต้านเชื้อรา (Oral Antifungals): ใช้ในกรณีที่สิวเกิดจากการติดเชื้อรา (Malassezia folliculitis) ซึ่งยาปฏิชีวนะไม่สามารถรักษาได้
การกดสิวอุดตันโดยผู้เชี่ยวชาญ
การกดสิวอุดตันโดยผู้เชี่ยวชาญสามารถช่วยกำจัดสิวที่อุดตันในรูขุมขนได้ แต่ไม่ได้ป้องกันการเกิดสิวใหม่ การรักษานี้ต้องทำภายใต้สภาวะปลอดเชื้อและด้วยเทคนิคที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจเกิดจากการบีบสิวด้วยตนเอง โดยทั่วไปมักใช้กับสิวที่มีสิวอุดตันเป็นส่วนใหญ่ หรือเมื่อต้องการผลลัพธ์ด้านความงามที่รวดเร็ว และจำเป็นต้องทำควบคู่ไปกับการรักษาทางการแพทย์และการดูแลผิวที่เหมาะสม
การฉีดสิวอักเสบให้ยุบ
การฉีดสเตียรอยด์เข้าที่สิวโดยตรงเป็นการรักษาฉุกเฉินสำหรับสิวอักเสบขนาดใหญ่ เช่น สิวหัวช้าง (nodules) หรือสิวซีสต์ (cysts) ที่ต้องการให้ยุบอย่างรวดเร็ว
การรักษานี้มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการเกิดแผลเป็นโดยการหยุดการอักเสบตั้งแต่เนิ่นๆ และมักใช้ในกรณีเร่งด่วน เช่น ก่อนไปงานสำคัญ อย่างไรก็ตาม การฉีดสิวควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะหากใช้มากเกินไปอาจทำให้ผิวหนังบางลงหรือเกิดรอยบุ๋มได้
เคล็ดลับป้องกันไม่ให้สิวที่หลังกลับมาเป็นซ้ำ
เพื่อป้องกันไม่ให้สิวที่หลังกลับมาเป็นซ้ำ ควรดูแลสุขอนามัยอย่างสม่ำเสมอ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และใช้ยาทาเพื่อควบคุมอาการอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าสิวจะดีขึ้นแล้วก็ตาม
เคล็ดลับเพิ่มเติมในการป้องกันสิวที่หลัง ได้แก่:
- สุขอนามัย: อาบน้ำทันทีหลังเหงื่อออก ซักเสื้อผ้าที่ใช้ในการออกกำลังกายทุกครั้ง และเปลี่ยนผ้าปูที่นอนอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
- หลีกเลี่ยงการระคายเคือง: ลดการเสียดสีจากสายกระเป๋าเป้ ไม่แกะหรือบีบสิว และมัดผมเพื่อไม่ให้เส้นผมและผลิตภัณฑ์บนผมสัมผัสกับแผ่นหลัง
- ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว: ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวกายและครีมกันแดดที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน) และทาครีมกันแดดเป็นประจำเพื่อป้องกันรอยดำ
- การรักษาต่อเนื่อง: หากเคยใช้ยารักษาสิว ควรใช้ยาทาเฉพาะที่กลุ่มเรตินอยด์ (เช่น Adapalene) ต่อไปเพื่อป้องกันการอุดตันของรูขุมขน
- ไลฟ์สไตล์: จัดการความเครียด พิจารณาลดอาหารที่มีน้ำตาลสูง และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
References
-
American Academy of Dermatology – aad.org
-
American Academy of Family Physicians – aafp.org
-
American Skin Association – americanskin.org
-
Cleveland Clinic – clevelandclinic.org
-
Curology – curology.com
-
Dermatology Times – dermatologytimes.com
-
DermNet New Zealand – dermnetnz.org
-
Verywell Health – verywellhealth.com