สิวที่แก้ม: สาเหตุ ประเภท วิธีรักษาให้หายขาด
สิวที่แก้มเกิดจากอะไร? สำรวจ 7 สาเหตุหลักที่พบบ่อย
1. สาเหตุจากปัจจัยภายใน: ฮอร์โมนและความเครียด
สาเหตุภายในที่ทำให้เกิดสิวที่แก้มคือ ความผันผวนของฮอร์โมนและความเครียด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในช่วงมีประจำเดือนหรือวัยแรกรุ่น สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวได้ ในขณะที่ความเครียดจะไปเพิ่มระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) ซึ่งกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นและเพิ่มการอักเสบ ส่งผลให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น
2. สาเหตุจากปัจจัยภายนอก: สุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม
สาเหตุภายนอกที่ทำให้เกิดสิวที่แก้ม ได้แก่ การสัมผัสใบหน้า การใช้โทรศัพท์ที่ไม่สะอาด ปลอกหมอนและผ้าเช็ดตัวที่ไม่สะอาด การใช้เครื่องสำอางที่อุดตัน และการเสียดสีจากหน้ากากอนามัย
ปัจจัยเหล่านี้ก่อให้เกิดสิวผ่านกลไกต่างๆ ดังนี้
- การสัมผัสและโทรศัพท์: การสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ และการใช้โทรศัพท์แนบแก้ม เป็นการนำพาแบคทีเรียและน้ำมันจากมือและหน้าจอโทรศัพท์มาสู่ผิวหน้าโดยตรง ซึ่งหน้าจอโทรศัพท์อาจมีแบคทีเรียมากกว่าที่นั่งชักโครกถึง 10 เท่า
- ปลอกหมอนและผ้าเช็ดตัว: สิ่งของเหล่านี้เป็นแหล่งสะสมของน้ำมัน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และแบคทีเรีย การใช้ซ้ำโดยไม่ทำความสะอาดจะนำสิ่งสกปรกกลับมาอุดตันรูขุมขนที่แก้มได้ แพทย์ผิวหนังแนะนำให้เปลี่ยนปลอกหมอนอย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์
- เครื่องสำอางและสกินแคร์: ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน (Comedogenic) สามารถทำให้เกิดสิวที่แก้มได้โดยตรง การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “non-comedogenic” และล้างเครื่องสำอางให้สะอาดทุกคืนจึงเป็นสิ่งสำคัญ
- หน้ากากอนามัย (Maskne): การเสียดสี แรงกด และความอับชื้นใต้หน้ากาก ทำให้เหงื่อและน้ำมันสะสม ระคายเคืองเกราะป้องกันผิว และทำให้รูขุมขนอุดตันง่ายขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุของสิวที่เรียกว่า “Maskne”
2.1. การสัมผัสใบหน้าและโทรศัพท์มือถือ
การสัมผัสใบหน้าและใช้โทรศัพท์มือถือทำให้เกิดสิวที่แก้มได้โดยการถ่ายเทเชื้อโรคและน้ำมันจากมือและหน้าจอโทรศัพท์ไปยังผิวหนัง การกระทำดังกล่าวเป็นสาเหตุภายนอกที่สำคัญของการเกิดสิว ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
- การสะสมของแบคทีเรีย: หน้าจอโทรศัพท์มือถือมีแบคทีเรียสะสมอยู่มากกว่าที่นั่งชักโครกถึง 10 เท่า การสัมผัสโทรศัพท์แล้วมาสัมผัสใบหน้าซ้ำๆ เป็นการนำเชื้อโรคและน้ำมันมาสู่แก้มโดยตรง
- การเกิด “สิวจากโทรศัพท์” (Cell-phone acne): การแนบโทรศัพท์กับแก้มทำให้เกิดความร้อน การเสียดสี และการอุดตัน ซึ่งเป็นการดักจับเหงื่อและสิ่งสกปรกไว้บนผิวหนัง สร้างสภาวะที่เหมาะแก่การเกิดสิวเฉพาะที่
- หลักฐานทางการศึกษา: งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า 77% ของผู้ป่วยมีสิวที่แก้มข้างที่ใช้โทรศัพท์คุยรุนแรงกว่าอีกข้าง ซึ่งสอดคล้องกับการเกิดสิวจากการสัมผัส (Acne Mechanica) ที่เกิดจากแบคทีเรียอย่าง *Staphylococcus aureus* บนอุปกรณ์
2.2. ปลอกหมอนและผ้าเช็ดตัวที่ไม่สะอาด
ปลอกหมอนและผ้าเช็ดตัวที่ไม่สะอาดเป็นแหล่งสะสมของสิ่งสกปรก น้ำมัน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และเชื้อโรค ซึ่งจะถูกส่งผ่านไปยังผิวแก้มเมื่อสัมผัส ทำให้รูขุมขนอุดตันและอักเสบได้
สภาพแวดล้อมที่อุ่นและชื้นของเครื่องนอนและผ้าเช็ดตัวที่เปียกชื้นเป็นที่ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อราที่ก่อให้เกิดสิว แพทย์ผิวหนังจึงแนะนำให้เปลี่ยนปลอกหมอนอย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ และใช้ผ้าเช็ดตัวที่สะอาดและแห้งเสมอเพื่อลดความเสี่ยง
2.3. การอุดตันจากเครื่องสำอางและสกินแคร์
การใช้เครื่องสำอางหรือสกินแคร์ที่มีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน (Comedogenic) เป็นสาเหตุโดยตรงของการเกิดสิวที่แก้ม สิวประเภทนี้เรียกว่า “Acne Cosmetica” ซึ่งมักปรากฏเป็นสิวเม็ดเล็กๆ หรือสิวหนองในบริเวณที่ใช้ผลิตภัณฑ์บ่อยๆ
งานวิจัยชี้ว่าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของน้ำมันที่อุดตันง่ายมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการเกิดสิวสูงขึ้น 2.5 เท่า และการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ในปริมาณมากก็เพิ่มความเสี่ยงเช่นกัน ดังนั้น การป้องกันคือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน) และทำความสะอาดใบหน้าให้หมดจดทุกคืน
2.4. การเสียดสีจากหน้ากากอนามัย
การเสียดสีและแรงกดจากหน้ากากอนามัยจะไประคายเคืองเกราะป้องกันผิว ในขณะที่ความชื้นและเหงื่อที่ติดอยู่ใต้หน้ากากทำให้ผิวหนังชั้นนอกบวมและส่งเสริมการอุดตันของรูขุมขน
ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “Maskne” (สิวจากหน้ากากอนามัย) ซึ่งจัดเป็นสิวจากแรงเสียดสี (acne mechanica) ชนิดหนึ่ง สภาพแวดล้อมที่อับชื้นใต้หน้ากากทำให้เหงื่อและน้ำมันสะสม ซึ่งเอื้อต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย *Cutibacterium acnes* ผลการศึกษาพบว่าการใส่หน้ากากอนามัยอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 4 สัปดาห์ ทำให้จำนวนสิวเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 43%
2. สิวที่แก้มมีกี่ประเภท? รู้จักสิวแต่ละชนิดเพื่อการรักษาที่ตรงจุด
1. กลุ่มสิวอุดตัน (Non-inflammatory Acne)
สิวอุดตัน (Non-inflammatory Acne) คือสิวที่เกิดจากการอุดตันในรูขุมขนโดยไม่มีการอักเสบ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ สิวหัวขาวและสิวหัวดำ
- สิวหัวขาว (Closed Comedones): เป็นตุ่มนูนเล็กๆ สีขาวหรือสีเดียวกับผิว เกิดจากรูขุมขนที่อุดตันและปิดสนิท ทำให้สิ่งสกปรกและไขมันที่อุดตันอยู่ภายในไม่สัมผัสกับอากาศ
- สิวหัวดำ (Open Comedones): เป็นสิวอุดตันที่รูขุมขนเปิดออก ทำให้สิ่งที่อุดตันอยู่ภายในสัมผัสกับอากาศและเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidation) จนกลายเป็นสีดำ ซึ่งไม่ได้เกิดจากความสกปรก
1.1. สิวอุดตันหัวปิด (สิวไม่มีหัว)
สิวอุดตันหัวปิดคือสิวในระยะเริ่มต้นของการอุดตันในรูขุมขน ซึ่งเกิดจากการสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้วและไขมัน (sebum) ภายในรูขุมขน สิวชนิดนี้จะไม่มีอาการแดงหรือเจ็บเนื่องจากมีการอักเสบน้อยมาก และมักปรากฏเป็นตุ่มเล็กๆ ที่มีลักษณะหยาบหรือเป็นปุ่มปมบนผิวแก้ม สิวอุดตันหัวปิดสามารถตอบสนองได้ดีต่อการรักษาที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวและสลายการอุดตัน เช่น เรตินอยด์ (retinoids) หรือกรดซาลิไซลิก (salicylic acid)
1.2. สิวอุดตันหัวเปิด (สิวหัวดำ)
สิวอุดตันหัวเปิด หรือสิวหัวดำ คือรูขุมขนขนาดเล็กที่ปากรูขุมขนเปิดกว้าง ทำให้สิ่งอุดตันภายในซึ่งประกอบด้วยซีบัม (sebum) และเซลล์ผิวที่ตายแล้วสัมผัสกับอากาศและเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidation) จนกลายเป็นสีดำ
สีดำที่เห็นนั้นเกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน ไม่ใช่สิ่งสกปรก สิวหัวดำมีลักษณะเป็นจุดสีดำเล็กๆ บนผิวหนัง และมักจะอยู่บนใบหน้าเป็นเวลานานหากไม่ได้รับการรักษา แต่สามารถกำจัดออกได้ทันทีโดยผู้เชี่ยวชาญ
1.3. สิวผดหรือสิวเม็ดเล็กๆ
สิวผดหรือสิวเม็ดเล็กๆ (Acne Aestivalis) คือสิวที่เกิดจากการเจริญเติบโตของเชื้อยีสต์มาลาสซีเซีย (Malassezia) ในรูขุมขนมากเกินไป ไม่ได้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเหมือนสิวทั่วไป สิวชนิดนี้มักปรากฏเป็นตุ่มเล็กๆ หรือตุ่มหนองที่มีลักษณะและขนาดใกล้เคียงกัน (monomorphic) และมักมีอาการคัน ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ใช้แยกจากสิวอักเสบปกติ สิวผดมักมีอาการแย่ลงในสภาพอากาศร้อนชื้น และจะไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาสิวทั่วไป
2. กลุ่มสิวอักเสบ (Inflammatory Acne)
สิวอักเสบคือสิวที่เกิดจากการอักเสบของรูขุมขนและมักมีอาการเจ็บหรือแดง ซึ่งประกอบด้วยสิวประเภทต่างๆ ดังนี้
- ตุ่มแดงนูน (Papules): เป็นตุ่มแข็งสีแดงที่ไม่มีหัวหนอง เกิดขึ้นเมื่อผนังรูขุมขนแตกและเกิดการอักเสบ
- ตุ่มหนอง (Pustules): เป็นตุ่มนูนที่มีฐานสีแดงและมีหัวหนองสีขาวหรือเหลืองอยู่ด้านบน ซึ่งพัฒนามาจากตุ่มแดงนูน
- สิวหัวช้างและสิวซีสต์ (Nodules and Cysts): เป็นสิวอักเสบชนิดรุนแรงที่สุด มีลักษณะเป็นก้อนแข็งหรือถุงของเหลวใต้ผิวหนัง มีอาการเจ็บปวด และมักทิ้งรอยแผลเป็นไว้
2.1. สิวตุ่มแดง (Papules)
สิวตุ่มแดงคือสิวอุดตันที่เกิดการอักเสบ ซึ่งก่อตัวเป็นตุ่มแดงหรือชมพูขนาดเล็กบนผิวหนัง
สิวชนิดนี้มีลักษณะเป็นตุ่มแข็ง ไม่มีหัวหนองสีขาวหรือเหลือง และอาจรู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัส สิวตุ่มแดงมักพัฒนามาจากสิวหัวขาวที่อักเสบ และอาจหายไปเองหรือกลายเป็นสิวหนองได้ การบีบหรือแกะอาจทำให้อาการอักเสบแย่ลงและนำไปสู่การเกิดรอยแผลเป็น
2.2. สิวหัวหนอง (Pustules)
สิวหัวหนอง (Pustules) คือ ตุ่มนูนแดงที่มีหนองสีขาวขุ่นอยู่ตรงกลาง ซึ่งเกิดจากการอักเสบของรูขุมขนที่ลามขึ้นมาถึงผิวชั้นบน หนองที่เห็นคือส่วนผสมของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ตายแล้ว แบคทีเรีย และสิ่งสกปรก
สิวชนิดนี้มักมีขนาดใหญ่กว่าสิวอักเสบชนิดตุ่มนูนแดง (Papules) และมักมีอาการเจ็บ ไม่ควรบีบหรือเค้นสิวหัวหนอง เพราะอาจทำให้การติดเชื้อลุกลามลึกลงไปในผิวหนังและทิ้งรอยแดงหรือรอยดำไว้ได้
2.3. สิวอักเสบเรื้อรัง
สิวอักเสบเรื้อรังเป็นสิวประเภทที่รุนแรงที่สุด มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแข็งใต้ผิวหนัง (Nodules) และถุงซีสต์ (Cysts) ที่เจ็บปวด ซึ่งบ่งบอกถึงกระบวนการอักเสบที่รุนแรงและเรื้อรังในชั้นผิวหนังลึก
สิวชนิดนี้มักพบบริเวณแก้มและอาจคงอยู่นานหลายสัปดาห์ มีลักษณะดังนี้
- ตุ่มนูน (Nodules): เป็นก้อนแข็งและเจ็บเมื่อสัมผัส
- ซีสต์ (Cysts): เป็นก้อนนุ่มๆ ที่มีของเหลวหรือกึ่งของแข็งอยู่ภายใน
เนื่องจากการอักเสบเกิดขึ้นในชั้นผิวที่ลึก การรักษาด้วยยาทาเพียงอย่างเดียวจึงมักไม่เพียงพอ และมีความเสี่ยงสูงที่จะทิ้งรอยแผลเป็นถาวร จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การใช้ยารับประทาน
3. วิธีรักษาสิวที่แก้มให้ได้ผลจริงทำได้อย่างไร?
การรักษาสิวที่แก้มให้ได้ผลจริงต้องใช้วิธีการแบบผสมผสาน ตั้งแต่การใช้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เอง การรักษาโดยแพทย์ ไปจนถึงการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ให้เหมาะสมกับประเภทและความรุนแรงของสิว
วิธีการรักษาสิวที่แก้มมีดังนี้
การรักษาด้วยตนเอง (Over-the-Counter – OTC): เหมาะสำหรับสิวที่ไม่รุนแรง
- เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide): ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวอักเสบ ลดจำนวนสิวอักเสบและสิวหัวหนอง
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): ช่วยผลัดเซลล์ผิวและละลายสิ่งอุดตันในรูขุมขน เหมาะสำหรับรักษาสิวอุดตันหัวขาวและหัวดำ
- กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและช่วยลดรอยดำจากสิว มีความอ่อนโยนและมักแนะนำสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์
- เรตินอยด์ชนิดทา (Topical Retinoids): เช่น Adapalene ช่วยควบคุมการผลัดเซลล์ผิว ป้องกันการอุดตัน และลดการอักเสบ
- การรักษาโดยแพทย์ (Medical Treatment): สำหรับสิวระดับปานกลางถึงรุนแรง
- ยาทาตามใบสั่งแพทย์: เช่น เรตินอยด์ความเข้มข้นสูง (Tretinoin) หรือยาปฏิชีวนะชนิดทา (Clindamycin) ซึ่งมักใช้ร่วมกับเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์เพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา
- ยารับประทาน: ได้แก่ ยาปฏิชีวนะเพื่อลดการอักเสบ, ยาปรับฮอร์โมน (ยาคุมกำเนิด, Spironolactone) สำหรับสิวฮอร์โมนในผู้หญิง หรือ Isotretinoin สำหรับสิวรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น
- หัตถการในคลินิก: เช่น การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels), การฉายแสงบำบัด (Light Therapy), การกดสิวอุดตันโดยผู้เชี่ยวชาญ และการฉีดสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบของสิวซีสต์ขนาดใหญ่
- การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และสุขอนามัย:
- อาหาร: รับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low-GI) เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ผัก และอาจพิจารณาจำกัดการบริโภคนม
- สุขอนามัย: ทำความสะอาดหน้าจอโทรศัพท์เป็นประจำ เปลี่ยนปลอกหมอนอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และหลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า
- การจัดการความเครียด: ความเครียดกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลซึ่งทำให้สิวแย่ลง การพักผ่อนให้เพียงพอและการออกกำลังกายสามารถช่วยลดความเครียดได้
3.1. การรักษาด้วยตนเอง: การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม
การรักษาสิวที่แก้มด้วยตนเองสามารถทำได้โดยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ทั่วไป (OTC) ซึ่งมีส่วนผสมออกฤทธิ์ที่เหมาะสมกับประเภทของสิว โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะช่วยจัดการกับสาเหตุต่างๆ ของการเกิดสิว เช่น การอุดตันของรูขุมขน แบคทีเรีย และการอักเสบ
ส่วนผสมออกฤทธิ์ที่สำคัญซึ่งมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์รองรับ ได้แก่:
- เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide – BPO): มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย C. acnes ซึ่งเป็นสาเหตุของสิวอักเสบ เหมาะสำหรับสิวอักเสบชนิดตุ่มแดง (Papules) และสิวหัวหนอง (Pustules) โดยความเข้มข้นที่แนะนำให้เริ่มต้นคือ 2.5% หรือ 5% เพื่อลดการระคายเคือง
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid – BHA): ช่วยผลัดเซลล์ผิวและสลายสิ่งอุดตันในรูขุมขน จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับรักษาสิวอุดตัน (Comedones) เช่น สิวหัวดำและสิวหัวขาว
- กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดการอักเสบ และที่สำคัญคือช่วยลดรอยดำหลังการเกิดสิว (PIH) ได้ดี จัดเป็นตัวเลือกที่อ่อนโยนและปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์
- เรตินอยด์ชนิดทา (Topical Retinoids): เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอที่ช่วยปรับการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นปกติ ป้องกันการอุดตัน และลดการอักเสบ โดย Adapalene 0.1% เป็นเรตินอยด์ชนิดเดียวที่หาซื้อได้เองโดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยา และมีประสิทธิภาพสูงในการรักษาสิวอุดตันและใช้เพื่อควบคุมสิวในระยะยาว
นอกจากนี้ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมสนับสนุนอื่นๆ เพื่อช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวและลดการระคายเคืองจากการใช้ยารักษาสิว เช่น ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ที่ช่วยลดรอยแดงและควบคุมความมัน, เซราไมด์ (Ceramides) ที่ช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว และ กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นโดยไม่อุดตันรูขุมขน
3.2. การรักษาโดยแพทย์: ยาทา ยารับประทาน และหัตถการ
การรักษาโดยแพทย์สำหรับสิวที่แก้มประกอบด้วยยาทาตามใบสั่งแพทย์ ยารับประทาน และหัตถการทางคลินิก ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ตามความรุนแรงและชนิดของสิว
- ยาทาตามใบสั่งแพทย์ (Prescription Topicals): แพทย์อาจสั่งยาปฏิชีวนะชนิดทา (เช่น คลินดามัยซิน ซึ่งมักใช้ร่วมกับเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์) เรตินอยด์ที่แรงขึ้น (เช่น เทรติโนอิน) หรือยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะที่ต่อฮอร์โมน (เช่น คลาสโคเทอโรน) เพื่อลดการอักเสบและควบคุมการผลิตน้ำมัน
- ยารับประทาน (Oral Medications): สำหรับสิวระดับปานกลางถึงรุนแรง ตัวเลือกได้แก่ ยาปฏิชีวนะ (เช่น ด็อกซีไซคลิน) ยาปรับฮอร์โมนสำหรับผู้หญิง (เช่น ยาคุมกำเนิด, สไปโรโนแลคโตน) และยาไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin) สำหรับสิวชนิดรุนแรงหรือดื้อยา
- หัตถการทางคลินิก (Clinical Procedures): หัตถการเสริมที่แพทย์ผิวหนังทำได้แก่ การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical peels) การกดสิวอุดตัน การฉายแสงบำบัด (เช่น แสงสีฟ้า) การใช้เลเซอร์ และการฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์เข้าที่สิวอักเสบเม็ดใหญ่โดยตรงเพื่อลดการอักเสบอย่างรวดเร็ว
3.3. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันเพื่อลดสิวที่แก้มสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนอาหาร ปรับปรุงสุขอนามัย และจัดการความเครียด ซึ่งการปรับเปลี่ยนเหล่านี้จะช่วยลดปัจจัยกระตุ้นภายนอกและภายในที่ทำให้เกิดสิวได้
- อาหาร:
- รับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low-GI): ลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น ขนมปังขาว ของหวาน และน้ำอัดลม เนื่องจากมีงานวิจัยพบว่าอาหารกลุ่มนี้สามารถลดจำนวนสิวได้
- จำกัดการบริโภคนม: โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย มีความสัมพันธ์กับการเกิดสิวที่เพิ่มขึ้นในงานวิจัยหลายชิ้น
- สุขอนามัย:
- ทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือ: เช็ดหน้าจอโทรศัพท์ทุกวันด้วยแอลกอฮอล์ 70% เพื่อกำจัดแบคทีเรีย และพยายามใช้หูฟังหรือเปิดลำโพงเพื่อลดการสัมผัสกับแก้มโดยตรง
- เปลี่ยนปลอกหมอนบ่อยๆ: ควรเปลี่ยนปลอกหมอนอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อกำจัดน้ำมัน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และแบคทีเรียที่สะสมอยู่
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า: การจับหรือเท้าคางบ่อยๆ สามารถนำพาน้ำมันและเชื้อโรคมาสู่ผิวหน้าได้
- ล้างหน้าอย่างถูกวิธี: ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Non-comedogenic)
- การจัดการความเครียด:
- ลดความเครียด: ความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งกระตุ้นการผลิตน้ำมันและการอักเสบ การทำสมาธิ โยคะ หรือการหายใจลึกๆ สามารถช่วยลดความเครียดและส่งผลดีต่อผิวได้
- นอนหลับให้เพียงพอ: การนอนหลับ 7-9 ชั่วโมงต่อคืนเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมระดับฮอร์โมนและช่วยให้ผิวได้ซ่อมแซมตัวเอง
4. ทำไมสิวที่แก้มไม่หายสักที? แนวทางแก้ปัญหาสิวเรื้อรัง
สิวที่แก้มซึ่งไม่หายสักทีอาจมีสาเหตุมาจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน การวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้อง หรือการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งแนวทางการแก้ปัญหาคือการพบแพทย์เพื่อประเมินสาเหตุที่แท้จริงและปรับการรักษาให้ตรงจุด
สาเหตุหลักที่ทำให้สิวที่แก้มเรื้อรังและไม่ตอบสนองต่อการรักษาทั่วไป ได้แก่:
- ภาวะฮอร์โมนหรือโรคประจำตัว: ภาวะบางอย่าง เช่น ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ หรือกลุ่มอาการคุชชิง (Cushing’s syndrome) สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวรุนแรงและต่อเนื่องได้ การรักษาสิวให้ได้ผลจึงจำเป็นต้องรักษาโรคที่เป็นต้นเหตุควบคู่กันไป
- การวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้อง: สิ่งที่ดูเหมือนสิวอาจเป็นภาวะอื่น เช่น สิวเชื้อรา (Malassezia folliculitis) หรือโรคโรซาเชีย (Rosacea) ซึ่งต้องการการรักษาที่แตกต่างจากการรักษาสิวทั่วไป การใช้ยาผิดประเภทอาจทำให้สิวไม่หายหรือแย่ลง
- การดื้อยาของแบคทีเรีย: การใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานานอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียที่ก่อสิวเกิดการดื้อยา หรืออาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่น เช่น แบคทีเรียแกรมลบ ซึ่งไม่ตอบสนองต่อยารักษาสิวแบบเดิมๆ แพทย์อาจต้องทำการเพาะเชื้อเพื่อระบุชนิดของเชื้อและเลือกยาที่เหมาะสม
5. สิวขึ้นแก้มซ้ายและแก้มขวาบอกอะไรได้บ้าง?
โดยทั่วไปแล้ว สิวที่ขึ้นบนแก้มซ้ายและแก้มขวาไม่ได้มีความหมายที่แตกต่างกันในทางการแพทย์ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ไม่สนับสนุนความเชื่อดั้งเดิมที่ว่าสิวบนแก้มแต่ละข้างเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพของอวัยวะภายในที่แตกต่างกัน
การเกิดสิวบนแก้มเพียงข้างใดข้างหนึ่งมักเกิดจากปัจจัยภายนอกหรือพฤติกรรมเฉพาะด้านมากกว่า ปัจจัยเหล่านี้ได้แก่:
- การสัมผัสโทรศัพท์มือถือ: การแนบโทรศัพท์กับแก้มข้างใดข้างหนึ่งเป็นประจำ ทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรียและความร้อน
- ท่านอน: การนอนตะแคงข้างเดิมเป็นประจำ ทำให้แก้มข้างนั้นสัมผัสกับปลอกหมอนที่อาจมีน้ำมันและสิ่งสกปรกสะสมอยู่
- พฤติกรรมการสัมผัสใบหน้า: การใช้มือเท้าคางหรือสัมผัสใบหน้าข้างใดข้างหนึ่งบ่อยกว่าอีกข้าง
- ปัจจัยอื่นๆ: ปัจจัยภายนอก เช่น ทรงผมที่ปรกหน้าข้างเดียว หรือวิธีการโกนหนวด ก็อาจทำให้เกิดสิวเฉพาะที่ได้
6. จะลดรอยสิวที่แก้มได้อย่างไร?
คุณสามารถลดรอยสิวที่แก้มได้ ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เอง การทำหัตถการโดยผู้เชี่ยวชาญ และการทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันไม่ให้รอยสิวเข้มขึ้น
วิธีการรักษารอยสิวที่แก้มมีดังนี้
- ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เอง (Over-the-Counter):
- เรตินอยด์ (Retinoids): เช่น Adapalene ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวเพื่อลดเลือนรอยดำและปรับสภาพผิว
- กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): มีประสิทธิภาพในการลดรอยดำ (PIH) และช่วยเรื่องสิวอักเสบ
- วิตามินซี (Vitamin C): เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใสและลดเลือนรอยดำ
- ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): ช่วยลดรอยแดงและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
- หัตถการโดยผู้เชี่ยวชาญ (Professional Treatments):
- เลเซอร์ (Laser Resurfacing): เช่น Fractional CO₂ laser ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อรักษาหลุมสิวและปรับสภาพผิว
- ไมโครนีดลิง (Microneedling): การใช้เข็มขนาดเล็กกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนใหม่เพื่อเติมเต็มหลุมสิว
- การแต้มกรด (TCA CROSS): เหมาะสำหรับรักษารอยสิวชนิดหลุมลึก (ice pick scars) โดยเฉพาะ
- การฉีดฟิลเลอร์ (Dermal Fillers): ช่วยเติมเต็มหลุมสิวชนิดแอ่ง (rolling scars) ให้ตื้นขึ้นได้ทันที
7. วิธีป้องกันไม่ให้สิวที่แก้มกลับมาเป็นซ้ำ
วิธีป้องกันสิวที่แก้มกลับมาเป็นซ้ำที่มีประสิทธิภาพคือ การใช้ยาทาเพื่อควบคุมสิวในระยะยาวอย่างสม่ำเสมอ ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสุขอนามัยเพื่อลดปัจจัยกระตุ้น
5 วิธีป้องกันสิวที่แก้มกลับมาเป็นซ้ำ ได้แก่
- ใช้ยาทาเพื่อควบคุมสิว (Maintenance Therapy): การใช้ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Topical Retinoids) เช่น Adapalene หรือ Tretinoin อย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงที่ไม่มีสิวแล้ว จะช่วยยับยั้งการก่อตัวของสิวใหม่ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งผลการศึกษาพบว่าสามารถลดอัตราการกลับมาเป็นซ้ำได้ถึง 20-50%
- รักษาวินัยในการดูแลผิว: ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งอย่างอ่อนโยน ไม่นอนหลับทั้งที่ยังมีเครื่องสำอาง และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอางที่ระบุว่า “ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน” (Non-Comedogenic)
- ใส่ใจสุขอนามัย: เปลี่ยนปลอกหมอนอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ทำความสะอาดหน้าจอโทรศัพท์เป็นประจำ และหลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสหรือเท้าแก้ม เพื่อลดการสะสมของแบคทีเรียและสิ่งสกปรก
- ปกป้องผิวจากแสงแดด: การทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันจะช่วยป้องกันการอักเสบและรอยสิวที่อาจถูกกระตุ้นโดยรังสียูวี อีกทั้งยารักษาสิวหลายชนิดยังทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้น
- ควบคุมปัจจัยภายใน (สำหรับผู้หญิง): สำหรับผู้หญิงที่สิวมีความสัมพันธ์กับฮอร์โมน การใช้ยาคุมกำเนิดหรือยา Spironolactone อย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์ สามารถช่วยควบคุมระดับฮอร์โมนและป้องกันการกลับมาของสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
References
- American Academy of Dermatology. (n.d.). Acne. AAD. aad.org
- BioMed Central. (n.d.). General medical research. BioMed Central. biomedcentral.com
- Cleveland Clinic. (n.d.). Acne Face Map. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
- Epoch Times. (2023). Bacteria levels on pillowcases after one week. Epoch Times. epochtimes.com
- Yonsei Medical Journal. (2023). Dermatology research studies. Yonsei University. eyjm.org
- Healthline. (2020). Face Mapping Myths. Healthline. healthline.com
- Hindustan Times. (2023). Dermatologist explains pillowcase-acne link. Hindustan Times. hindustantimes.com
- JMIR Dermatology. (2023). Digital dermatology research. JMIR Publications. derma.jmir.org
- Yonsei Medical Journal. (2023). Acne prevalence and risk data. Yonsei University. eyjm.org
- Cleveland Clinic. (n.d.). Acne Face Mapping. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
- Journal of Drugs in Dermatology. (2009). Benzoyl Peroxide in Acne Management. JDD Online. jddonline.com
- BMC Public Health. (2024). Acne risk factors in health populations. BioMed Central. biomedcentral.com
- Evidence-Based Practice. (2024). Effective acne treatments. Wolters Kluwer. journals.lww.com