สิวข้าวสาร คืออะไร? วิธีจัดการและวิธีรักษา
สิวข้าวสาร (Milia): ลักษณะและประเภทที่พบบ่อย
สิวข้าวสาร (Milia) คือซีสต์เคราตินขนาดเล็กสีขาว ที่มีลักษณะเป็นตุ่มแข็งขนาด 1-3 มิลลิเมตร อยู่ใต้ผิวหนัง โดยไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บหรือคัน และมักปรากฏเป็นกลุ่มบริเวณรอบดวงตา แก้ม จมูก และหน้าผาก
สิวข้าวสารแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักตามสาเหตุการเกิด ได้แก่
- สิวข้าวสารชนิดปฐมภูมิ (Primary Milia): เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติบนผิวที่แข็งแรงโดยไม่มีสาเหตุนำมาก่อน พบได้บ่อยในทารกแรกเกิดและผู้ใหญ่
- สิวข้าวสารชนิดทุติยภูมิ (Secondary Milia): เกิดขึ้นบริเวณผิวหนังที่เคยได้รับบาดเจ็บหรือเป็นโรค เช่น หลังเกิดแผลไหม้ ผื่นพุพอง หรือจากการใช้สเตียรอยด์เป็นเวลานาน
สิวข้าวสารเกิดจากอะไร? 5 สาเหตุหลักที่ควรรู้
สิวข้าวสาร (Milia) เกิดจากการที่เคราตินซึ่งเป็นโปรตีนในผิวหนังถูกกักเก็บอยู่ใต้ผิวหนังชั้นนอกจนกลายเป็นซีสต์ขนาดเล็กสีขาว ไม่ได้เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนเหมือนสิวทั่วไป
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวข้าวสารมี 5 ประการ ดังนี้
- การเกิดขึ้นเอง (Primary Milia) เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด เกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติเมื่อเคราตินอุดตันในท่อของต่อมไขมันหรือรูขุมขนอ่อน มักพบในทารกแรกเกิดและผู้ใหญ่
- ผิวหนังได้รับความเสียหาย (Secondary Milia) เกิดขึ้นในบริเวณที่ผิวหนังเคยบาดเจ็บ เช่น หลังเกิดแผลไฟไหม้ ผื่นพุพอง การขัดผิวด้วยวิธีรุนแรง (Dermabrasion) หรือหลังโดนแดดเผา โดยเคราตินจะถูกกักไว้ในระหว่างกระบวนการซ่อมแซมผิว
- การใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันผิว การใช้ครีมหรือเครื่องสำอางที่มีเนื้อหนักและก่อให้เกิดการอุดตัน (Occlusive) โดยเฉพาะบริเวณผิวบอบบางอย่างรอบดวงตา อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดสิวข้าวสารได้
- การใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดทาเป็นเวลานาน การใช้ยาสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทำให้ผิวบางลงและกระตุ้นให้เกิดสิวข้าวสารชนิดทุติยภูมิ (Secondary Milia)
- ปัจจัยทางพันธุกรรม แม้จะพบได้ไม่บ่อย แต่โรคผิวหนังทางพันธุกรรมบางชนิดอาจทำให้ผู้ป่วยมีสิวข้าวสารขึ้นเป็นจำนวนมากและเรื้อรังได้
สิวข้าวสารแตกต่างจากสิวหินและสิวอุดตันอย่างไร?
สิวข้าวสาร สิวหิน และสิวอุดตันหัวขาวแตกต่างกันที่สาเหตุการเกิด สี และสิ่งที่อยู่ภายในตุ่ม โดยสิวข้าวสารเกิดจากเคราตินที่ติดอยู่ใต้ผิวหนัง สิวหินเป็นเนื้องอกของต่อมเหงื่อ ในขณะที่สิวอุดตันเป็นรูขุมขนที่อุดตันด้วยไขมัน
- สิวข้าวสาร (Milia): เกิดจากเคราติน (โปรตีนผิวหนัง) ที่ถูกกักอยู่ใต้ผิวหนัง มีลักษณะเป็นตุ่มแข็งสีขาวมุกขนาดเล็ก ไม่ใช่การอุดตันในรูขุมขนและไม่สามารถบีบออกได้ง่าย
- สิวหิน (Syringoma): เป็นเนื้องอกที่ไม่ร้ายแรงของต่อมเหงื่อ มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีเดียวกับผิวหรือสีเหลือง มักพบบริเวณใต้ตาเป็นกลุ่มๆ
- สิวอุดตันหัวขาว (Whitehead): เป็นสิวชนิดหนึ่งที่เกิดจากรูขุมขนอุดตันด้วยไขมัน (ซีบัม) และเซลล์ผิวที่ตายแล้ว มีลักษณะเป็นตุ่มนูนที่มีหัวสีขาว และอาจเกิดการอักเสบได้
ตารางเปรียบเทียบ: สิวข้าวสาร vs สิวหิน vs สิวหัวขาว
ตารางนี้เปรียบเทียบความแตกต่างที่สำคัญระหว่างสิวข้าวสาร สิวหิน และสิวหัวขาว
ลักษณะ | สิวข้าวสาร (Milia) | สิวหิน (Syringoma) | สิวหัวขาว (Whitehead) |
---|---|---|---|
สาเหตุ | เคราติน (โปรตีนผิวหนัง) ที่ติดอยู่ใต้ผิวหนัง ไม่ใช่รูขุมขนอุดตัน | เนื้องอกที่ไม่ร้ายแรงของต่อมเหงื่อ | รูขุมขนอุดตันจากไขมัน (ซีบัม) และเซลล์ผิวที่ตายแล้ว |
สีและสิ่งที่อยู่ภายใน | สีขาวมุกหรือเหลือง ภายในเป็นก้อนเคราตินแข็ง ไม่มีหนอง | สีเดียวกับผิว สีเหลือง หรือโปร่งแสง ภายในเป็นโครงสร้างของท่อต่อมเหงื่อ | หัวสิวสีขาวหรือขาวขุ่น ภายในเป็นไขมันและเคราติน อาจอักเสบได้ |
ขนาดและความแข็ง | 1–3 มม. เป็นตุ่มแข็งทรงโดม รู้สึกเหมือนเม็ดทรายใต้ผิวหนัง | 1–3 มม. ตุ่มแข็งหรือหยุ่นๆ มักขึ้นเป็นกลุ่ม | 1–3 มม. นิ่มกว่าสิวข้าวสาร อาจบีบออกเป็นเส้นสีขาวได้ |
บริเวณที่พบบ่อย | ใบหน้า โดยเฉพาะรอบดวงตา แก้ม หน้าผาก และจมูก | ใต้ตาและโหนกแก้ม มักขึ้นสมมาตรกันทั้งสองข้าง | บริเวณที่มัน เช่น T-zone (จมูก คาง หน้าผาก) รวมถึงหน้าอกและหลัง |
อายุและกลุ่มที่พบ | พบได้ทุกวัย พบบ่อยมากในทารกแรกเกิด (40-50%) | มักเกิดในวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ (อายุ 20-40 ปี) พบในผู้หญิงบ่อยกว่า | วัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้น มักเกิดกับคนผิวมันหรือมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน |
มีวิธีรักษาและจัดการสิวข้าวสารอย่างไรบ้าง?
การรักษาสิวข้าวสารมี 2 วิธีหลัก คือ การดูแลด้วยตนเองที่บ้านและการกำจัดโดยผู้เชี่ยวชาญ
- การดูแลด้วยตนเองที่บ้าน: เป็นการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวเพื่อช่วยให้สิวข้าวสารค่อยๆ หลุดออกไปเอง ซึ่งอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน วิธีการที่นิยมได้แก่:
- เรตินอยด์ (Retinoids): ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวและป้องกันการอุดตัน
- ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว (Exfoliants): เช่น กรดไกลโคลิก (AHA) หรือกรดซาลิไซลิก (BHA) ช่วยผลัดผิวชั้นนอกออกไป
- ข้อควรระวัง: ไม่ควรพยายามบีบหรือแกะสิวข้าวสารด้วยตัวเอง เพราะอาจทำให้เกิดแผลเป็นหรือการติดเชื้อได้
- การกำจัดโดยผู้เชี่ยวชาญ: เป็นวิธีที่เห็นผลทันทีและมีประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับสิวข้าวสารที่ไม่หายไปเองหรือส่งผลต่อความสวยงาม ได้แก่:
- การใช้เข็มสะกิดออก (Extraction): แพทย์จะใช้เข็มที่ฆ่าเชื้อแล้วสะกิดเปิดผิวหนังเล็กน้อยและกดเอาก้อนเคราตินออก
- เลเซอร์ (Laser): ใช้เลเซอร์ทำลายตุ่มสิวข้าวสาร ซึ่งจะเกิดเป็นสะเก็ดและหลุดออกไปใน 1 สัปดาห์
- การจี้ด้วยความเย็น (Cryotherapy): ใช้ไนโตรเจนเหลวจี้ แต่ไม่นิยมใช้บริเวณรอบดวงตา
- การจี้ด้วยไฟฟ้า (Electrodessication): ใช้ความร้อนทำลายตุ่มสิวข้าวสาร
การรักษาสิวข้าวสารด้วยตัวเองที่บ้าน
การรักษาสิวข้าวสารด้วยตัวเองที่บ้านสามารถทำได้โดย การใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ (Retinoids) หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) และกรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) เพื่อช่วยให้สิวหลุดออกไปเองอย่างช้าๆ
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก ทำให้เคราตินที่อุดตันอยู่ใต้ผิวค่อยๆ ถูกดันขึ้นมาและหลุดออกไปในที่สุด ซึ่งอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนจึงจะเห็นผล
ข้อควรระวังที่สำคัญที่สุดคือ ห้ามพยายามบีบ กด หรือใช้ของแหลมเจาะสิวข้าวสารด้วยตัวเอง เพราะสิวข้าวสารเป็นซีสต์ที่อยู่ใต้ผิวหนัง ไม่ใช่สิวอุดตันแบบทั่วไป การพยายามบีบออกเองอาจทำให้ผิวหนังเสียหาย เกิดการอักเสบ ติดเชื้อ หรือทิ้งรอยแผลเป็นได้
ผลิตภัณฑ์และส่วนผสมที่แนะนำมีอะไรบ้าง?
ผลิตภัณฑ์ที่แนะนำสำหรับสิวหินมักมีส่วนผสมของเรตินอยด์และกรดผลัดเซลล์ผิว (chemical exfoliants) เช่น กรดซาลิไซลิกและกรดไกลโคลิก ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวเพื่อให้สิวหินหลุดออกไปเอง
- เรตินอยด์ (Retinoids): เช่น อะแดพาลีน (adapalene) ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวและลดการเกาะตัวของเคราติน ทำให้สิวหินค่อยๆ ถูกผลักออกมา ควรใช้ตอนกลางคืนและทาครีมกันแดดในตอนกลางวัน เนื่องจากเรตินอยด์ทำให้ผิวไวต่อแสง
- กรดผลัดเซลล์ผิว (Chemical Exfoliants): เช่น กรดซาลิไซลิก (salicylic acid) 2% หรือกรดไกลโคลิก (glycolic acid) 5-10% ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกอย่างอ่อนโยน ทำให้สิวหินหลุดออกได้ง่ายขึ้น ควรใช้ด้วยความระมัดระวังบริเวณรอบดวงตาและต้องทาครีมกันแดดทุกวัน
ในทางกลับกัน ยารักษาสิวทั่วไปอย่างเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) มักไม่ได้ผลกับสิวหิน เนื่องจากสิวหินไม่ได้เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนหรือแบคทีเรียเหมือนสิวทั่วไป
ข้อควรระวังในการพยายามกดหรือเจาะสิวข้าวสารเองคืออะไร?
ข้อควรระวังหลักในการพยายามกดหรือเจาะสิวข้าวสารเองคือความเสี่ยงที่จะทำให้ผิวหนังเสียหาย เกิดการติดเชื้อ และทิ้งรอยแผลเป็นไว้ เนื่องจากสิวข้าวสารเป็นซีสต์ที่ถูกปิดอยู่ใต้ผิวหนังชั้นนอก ไม่ใช่สิวอุดตันที่สามารถกดออกได้เหมือนสิวทั่วไป
การพยายามบีบหรือเจาะด้วยตนเองมักจะไม่สามารถนำหัวสิวออกมาได้ แต่จะทำให้ผิวหนังโดยรอบเกิดรอยแดง อักเสบ หรือติดเชื้อจากการใช้อุปกรณ์ที่ไม่สะอาด นอกจากนี้ การกำจัดที่ไม่สมบูรณ์อาจกระตุ้นให้เกิดสิวข้าวสารขึ้นใหม่ในบริเวณเดิมได้อีกด้วย
การรักษาสิวข้าวสารโดยผู้เชี่ยวชาญ
การรักษาสิวข้าวสารโดยผู้เชี่ยวชาญมีหลายวิธี เช่น การใช้เข็มสะกิดออก, การใช้เลเซอร์, การจี้ด้วยความเย็น, การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี และการจี้ด้วยไฟฟ้า ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีและความเสี่ยงแตกต่างกันไป
วิธีการรักษาสิวข้าวสารโดยผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่:
- การใช้เข็มสะกิดออก (Extraction): แพทย์จะใช้เข็มหรือใบมีดขนาดเล็กที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้วสะกิดเปิดผิวหนังบริเวณสิวข้าวสาร จากนั้นใช้เครื่องมือกดเอาเม็ดเคราตินที่แข็งตัวอยู่ข้างใต้ออก วิธีนี้เห็นผลทันทีและแทบไม่ทิ้งรอยแผลเป็น เหมาะสำหรับบริเวณที่บอบบางอย่างรอบดวงตา
- การใช้เลเซอร์ (Laser Ablation): เป็นการใช้เลเซอร์ยิงไปที่สิวข้าวสารเพื่อทำลายซีสต์โดยตรง หลังทำจะมีสะเก็ดเล็กๆ เกิดขึ้นและจะหลุดออกไปเองภายใน 4-7 วัน เป็นวิธีที่มีความเสี่ยงเกิดแผลเป็นต่ำ แต่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าวิธีอื่น
- การจี้ด้วยความเย็น (Cryotherapy): แพทย์จะใช้ไนโตรเจนเหลวจี้ที่สิวข้าวสารเพื่อแช่แข็งและทำลายซีสต์ หลังจากนั้นสิวจะพองหรือตกสะเก็ดแล้วหลุดออกไปใน 1-2 สัปดาห์ แต่วิธีนี้มักไม่นิยมใช้กับบริเวณที่บอบบางอย่างรอบดวงตา เพราะอาจทิ้งรอยด่างขาวได้
- การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels): เป็นการใช้สารเคมีที่มีความเข้มข้นสูงทาลงบนผิวเพื่อเร่งการผลัดเซลล์ผิวชั้นบนออกไป ทำให้สิวข้าวสารหลุดออกไปพร้อมกัน สามารถรักษาสิวจำนวนมากได้ในครั้งเดียว แต่อาจต้องทำหลายครั้งจึงจะเห็นผล
- การจี้ด้วยไฟฟ้าและการขูดออก (Electrodessication and Curettage): เป็นการใช้ความร้อนจากไฟฟ้าจี้ทำลายซีสต์ จากนั้นอาจมีการขูดเอาซากซีสต์ออก วิธีนี้มีประสิทธิภาพสำหรับสิวข้าวสารที่รักษายาก หลังทำจะมีสะเก็ดและจะหายในประมาณหนึ่งสัปดาห์
การใช้เลเซอร์กำจัดสิวข้าวสารมีขั้นตอนอย่างไร?
การใช้เลเซอร์กำจัดสิวข้าวสารคือการใช้พลังงานเลเซอร์เพื่อทำให้ผิวหนังชั้นบนที่คลุมสิวข้าวสารอยู่ระเหยออกไป ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่มีเลือดออกและสามารถกำจัดสิวข้าวสารได้อย่างแม่นยำ
หลังการรักษา บริเวณที่ทำเลเซอร์จะเกิดเป็นสะเก็ดเล็กๆ ซึ่งจะหลุดออกไปเองภายในเวลาประมาณ 4–7 วัน เผยให้เห็นผิวที่เรียบเนียน ทั้งนี้ หากทำเลเซอร์บริเวณใกล้ดวงตา จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันดวงตาเสมอ
การสะกิดเปิดหัวสิวโดยแพทย์ปลอดภัยหรือไม่?
โดยทั่วไปแล้วปลอดภัย เมื่อทำโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ
การสะกิดเปิดหัวสิวอุดตัน (Milia) โดยแพทย์เป็นการใช้เครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อทำรอยเปิดเล็กๆ บนผิวหนังเพื่อนำก้อนเคราตินออกมา ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลทันที หากทำอย่างถูกวิธี ความเสี่ยงที่จะเกิดรอยแผลเป็นนั้นน้อยมาก และแผลเล็กๆ จะหายได้เองภายใน 2-3 วัน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความเสี่ยงเล็กน้อยที่จะเกิดรอยแผลเป็นหรือรอยดำ โดยเฉพาะในผู้ที่มีแนวโน้มเป็นคีลอยด์ได้ง่าย
วิธีจัดการสิวข้าวสารใต้ตาและบนเปลือกตาอย่างปลอดภัย
วิธีที่ปลอดภัยที่สุดในการจัดการสิวข้าวสารใต้ตาและบนเปลือกตาคือการให้ผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์ผิวหนังหรือจักษุแพทย์ ทำการกำจัดออก เนื่องจากผิวหนังบริเวณนี้มีความบางและบอบบาง การพยายามบีบหรือเจาะออกเองมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อดวงตา การติดเชื้อ หรือรอยแผลเป็นได้
แพทย์มักใช้วิธีที่แม่นยำและมีความเสี่ยงต่ำ เช่น การใช้เครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อสะกิดผิวหนังเล็กน้อยแล้วเขี่ยตุ่มสิวข้าวสารออก ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลทันทีและปลอดภัยสำหรับบริเวณที่บอบบางนี้ สำหรับการดูแลที่บ้าน ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรง และเลือกใช้เฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าปลอดภัยสำหรับผิวรอบดวงตาเท่านั้น
เราจะป้องกันการเกิดสิวข้าวสารซ้ำได้อย่างไร?
การป้องกันสิวข้าวสารสามารถทำได้โดยการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งรวมถึงการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน การใช้ครีมกันแดดทุกวัน และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน
คุณสามารถลดโอกาสการเกิดสิวข้าวสารซ้ำได้ด้วยวิธีต่อไปนี้:
- การผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน: ใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) หรือกรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อช่วยส่งเสริมการผลัดเซลล์ผิวและป้องกันการสะสมของเคราติน
- การป้องกันแสงแดด: ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน เนื่องจากความเสียหายจากแสงแดดสามารถทำให้ผิวหนาขึ้นและเกิดสิวข้าวสารได้
- การให้ความชุ่มชื้นที่เหมาะสม: เลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่บางเบา ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) และปราศจากน้ำมัน (oil-free) ควรหลีกเลี่ยงครีมเนื้อหนักที่อาจอุดตันผิว
- การทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน: ล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนวันละสองครั้ง เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและน้ำมันส่วนเกินโดยไม่ทำให้ผิวระคายเคือง
- หลีกเลี่ยงการใช้สเตียรอยด์ชนิดทาเป็นเวลานาน: การใช้ยาทากลุ่มสเตียรอยด์ต่อเนื่องเป็นเวลานานเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิวข้าวสารทุติยภูมิ (secondary milia)
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์เพื่อรักษาสิวข้าวสาร?
โดยทั่วไป ควรไปพบแพทย์เมื่อมีสิวข้าวสารจำนวนมากเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว, เกิดขึ้นบริเวณที่ผิวหนังเคยได้รับบาดเจ็บ, หรือเมื่อไม่แน่ใจว่าตุ่มนั้นคือสิวข้าวสารจริงหรือไม่ การไปพบแพทย์จะช่วยให้วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำและตัดโรคผิวหนังอื่นๆ ที่อาจมีลักษณะคล้ายกันออกไป
สถานการณ์ที่ควรปรึกษาแพทย์ ได้แก่:
- มีสิวข้าวสารจำนวนมากเกิดขึ้นพร้อมกัน: โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ การที่สิวข้าวสารจำนวนมากปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วอาจเป็นสัญญาณของภาวะอื่นที่ซ่อนอยู่
- สิวข้าวสารเกิดขึ้นหลังผิวหนังบาดเจ็บ: เช่น เกิดขึ้นหลังแผลไฟไหม้ แผลพุพอง หรือผื่นผิวหนังอักเสบ เพื่อให้แน่ใจว่าการฟื้นฟูของผิวหนังเป็นไปอย่างปกติ
- ไม่แน่ใจในการวินิจฉัย: หากตุ่มนั้นมีลักษณะที่น่าสงสัย เช่น ขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หรือมีลักษณะไม่เหมือนสิวข้าวสารทั่วไป ควรให้แพทย์ตรวจเพื่อแยกออกจากภาวะอื่น เช่น หูดแบน (flat warts) หรือเนื้องอกของต่อมเหงื่อ (syringomas)
- ต้องการกำจัดออกเพื่อความสวยงาม: โดยเฉพาะบริเวณที่บอบบาง เช่น รอบดวงตา ควรให้แพทย์เป็นผู้กำจัดออกเพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการเกิดแผลเป็น
References
-
AOK Health Insurance (Germany) – aok.de
-
But More Importantly – but-more-importantly.com
-
Cleveland Clinic – clevelandclinic.org
-
Cosmopolitan – cosmopolitan.com
-
DermNet New Zealand – dermnetnz.org
-
GQ Magazine Germany – gq-magazin.de