สิวจากยาคุม: สาเหตุ วิธีแก้ และคำแนะนำ
สิวจากยาคุมคืออะไร และเกิดขึ้นจากสาเหตุใด?
สิวจากยาคุม (Pill acne) คือสิวที่เกิดจากการใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ในยาคุมกำเนิด โดยมีสาเหตุหลักมาจากฮอร์โมนโปรเจสติน (progestin) บางชนิดที่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศชาย (androgenic)
โปรเจสตินที่มีฤทธิ์แอนโดรเจนสูง เช่น levonorgestrel หรือ norethisterone สามารถกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การอุดตันและเกิดสิวได้ สิวชนิดนี้แตกต่างจากสิวฮอร์โมนทั่วไปตรงที่ถูกกระตุ้นโดยฮอร์โมนจากภายนอก (ยาคุม) ในขณะที่สิวฮอร์โมนทั่วไปเกิดจากความผันผวนของฮอร์โมนตามธรรมชาติในร่างกาย
ทำไมการกินยาคุมจึงทำให้สิวขึ้นได้?
ยาคุมบางชนิดอาจทำให้เกิดสิวได้เนื่องจากฮอร์โมนโปรเจสตินที่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศชาย (androgenic) ซึ่งจะไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นจนทำให้เกิดการอุดตันและเป็นสิว
โดยเฉพาะยาคุมที่มีโปรเจสตินรุ่นเก่า เช่น ลีโวนอร์เจสเตรล (levonorgestrel) หรือ นอร์เอทีสเตอโรน (norethisterone) จะมีแนวโน้มกระตุ้นให้เกิดสิวได้มากกว่า นอกจากนี้ ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว (เช่น ยาคุมเม็ดเล็ก, ยาฉีด, ยาฝัง) ซึ่งไม่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนมาช่วยต้านฤทธิ์ดังกล่าว ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้สิวเห่อได้เช่นกัน
ฮอร์โมนในยาคุมส่งผลต่อการเกิดสิวอย่างไร?
ฮอร์โมนในยาคุมกำเนิดส่งผลต่อสิวแตกต่างกันไป โดย เอสโตรเจนมีฤทธิ์ช่วยลดสิว ในขณะที่โปรเจสตินบางชนิดอาจกระตุ้นให้เกิดสิวได้
ผลกระทบของยาคุมต่อสิวขึ้นอยู่กับความสมดุลของฮอร์โมน 2 ชนิดนี้:
- เอสโตรเจน (Estrogen): ช่วยลดสิวโดยการทำให้ต่อมไขมันหดตัว ลดการผลิตน้ำมันบนผิว และลดระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนอิสระในร่างกาย
- โปรเจสติน (Progestin): มีหลายชนิด โปรเจสตินรุ่นเก่าที่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศชาย (Androgenic) อาจกระตุ้นให้เกิดสิวและผิวมัน ในขณะที่โปรเจสตินรุ่นใหม่ที่มีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเพศชาย (Anti-androgenic) เช่น ดรอสไพรีโนน (Drospirenone) สามารถช่วยรักษาสิวได้
สิวขึ้นช่วงแรกที่เริ่มกินยาคุม เป็นเรื่องปกติหรือไม่?
เป็นเรื่องปกติที่สิวอาจเห่อขึ้นในช่วงแรกที่เริ่มรับประทานยาคุมกำเนิด
อาการนี้ถือเป็น “การเห่อของสิว” ในระยะสั้นๆ ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่ร่างกายกำลังปรับตัวให้เข้ากับระดับฮอร์โมนใหม่ โดยทั่วไปแล้วสิวจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อฮอร์โมนเข้าสู่สมดุล ซึ่งแพทย์ผิวหนังแนะนำให้รอดูผลอย่างน้อย 2-3 เดือน
วิธีสังเกตลักษณะเฉพาะของสิวจากยาคุม
ลักษณะเฉพาะที่สำคัญที่สุดของสิวจากยาคุมคือ การเห่อขึ้นมาหลังจากเริ่มใช้หรือเปลี่ยนยาคุมกำเนิด
ในทางปฏิบัติ สิวจากยาคุมจะมีลักษณะและอาการคล้ายกับสิวฮอร์โมนทั่วไป เนื่องจากมีสาเหตุมาจากฮอร์โมนแอนโดรเจนเหมือนกัน โดยมักจะปรากฏเป็นสิวอักเสบเม็ดลึกบริเวณแก้มส่วนล่าง แนวกราม คาง และลำคอ และอาจลามไปถึงหลังส่วนบน ไหล่ และหน้าอกได้ จุดแตกต่างที่สำคัญคือสาเหตุของการเกิด โดยสิวจากยาคุมจะเริ่มขึ้นหลังจากการใช้ยาคุม ในขณะที่สิวฮอร์โมนทั่วไปจะสัมพันธ์กับรอบของฮอร์โมนตามธรรมชาติในร่างกาย
สิวจากยาคุมแตกต่างจากสิวฮอร์โมนทั่วไปอย่างไร?
ความแตกต่างที่สำคัญคือ ตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดสิว โดยสิวจากยาคุมเกิดจากฮอร์โมนภายนอกในยาคุมกำเนิด ในขณะที่สิวฮอร์โมนทั่วไปเกิดจากความผันผวนของฮอร์โมนตามวงจรธรรมชาติของร่างกาย
สิวฮอร์โมนทั่วไปมักเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนตามรอบเดือนหรือภาวะต่างๆ เช่น กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) ในทางกลับกัน สิวจากยาคุมจะเริ่มเกิดขึ้นหลังจากเริ่มใช้ยาหรือเปลี่ยนยาคุม โดยเฉพาะยาที่มีโปรเจสตินซึ่งมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศชาย (androgenic) อย่างไรก็ตาม สิวทั้งสองชนิดมีลักษณะคล้ายกันมาก เนื่องจากถูกกระตุ้นโดยฮอร์โมนแอนโดรเจนเหมือนกัน ทำให้เกิดผิวมันและสิวอักเสบลึกบริเวณแนวกราม คาง และลำคอได้เช่นกัน
ตำแหน่งที่มักเกิดสิวจากการใช้ยาคุมมีที่ใดบ้าง?
สิวที่เกิดจากการใช้ยาคุมกำเนิดมักปรากฏขึ้นบริเวณใบหน้าส่วนล่าง เช่น ตามแนวขากรรไกร คาง แก้มส่วนล่าง และรอบปาก นอกจากนี้ยังสามารถพบได้ที่คอ หลังส่วนบน ไหล่ และหน้าอก
สิวจากยาคุมมีลักษณะและตำแหน่งการเกิดเหมือนกับสิวฮอร์โมนทั่วไป เนื่องจากมีสาเหตุมาจากฮอร์โมนแอนโดรเจนเช่นเดียวกัน
กินยาคุมแล้วสิวขึ้น ควรหยุดกินไหม หรือควรทำอย่างไร?
โดยทั่วไปแล้ว ไม่ควรหยุดกินยาคุมเองทันที เนื่องจากร่างกายอาจต้องใช้เวลาในการปรับตัวกับฮอร์โมน ซึ่งสิวที่เกิดขึ้นในช่วงแรกมักจะดีขึ้นเองหลังจากผ่านไป 2-3 เดือน
แพทย์แนะนำให้ปฏิบัติดังนี้:
- ให้เวลาร่างกายปรับตัว: ควรใช้ยาคุมต่อไปอย่างน้อย 2-3 เดือน (และอาจนานถึง 6 เดือน) เพื่อประเมินผลที่แท้จริงต่อผิว
- ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร: หากสิวรุนแรงขึ้น ไม่ดีขึ้น หรือสร้างความกังวลใจ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่น
- พิจารณาเปลี่ยนชนิดของยาคุม: แพทย์อาจแนะนำให้เปลี่ยนไปใช้ยาคุมที่มีโปรเจสตินชนิดต้านแอนโดรเจน (anti-androgenic) เช่น ดรอสไพรีโนน (drospirenone) หรือไซโปรเทอโรน (cyproterone) ซึ่งมีประสิทธิภาพในการรักษาสิวได้ดีกว่า
- ใช้ยารักษาสิวควบคู่กัน: สามารถใช้ยาทารักษาสิวเฉพาะที่ เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) หรือเรตินอยด์ (retinoids) ร่วมกับการกินยาคุมได้ เพื่อช่วยควบคุมสิวในระหว่างที่รอให้ฮอร์โมนปรับสมดุล
แนวทางการจัดการเบื้องต้นเมื่อสิวเริ่มเห่อ
แนวทางการจัดการเบื้องต้นเมื่อสิวเริ่มเห่อคือ ให้รับประทานยาคุมต่อไปตามปกติ เนื่องจากอาการสิวเห่อในช่วงแรกมักเป็นการปรับตัวของฮอร์โมนและจะดีขึ้นเอง
แพทย์ผิวหนังแนะนำให้รอดูผลของยาอย่างน้อย 2-3 เดือน ในระหว่างนี้ควรดูแลผิวให้สะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน และหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางหรือครีมที่อาจอุดตันรูขุมขนเพื่อช่วยบรรเทาอาการ
ควรเปลี่ยนยี่ห้อยาคุมหรือไม่?
การเปลี่ยนยี่ห้อยาคุมอาจเป็นทางออกที่ดีหากยาคุมยี่ห้อเดิมทำให้เกิดสิวหรือผลข้างเคียงอื่นๆ แต่ควรทำภายใต้คำแนะนำของแพทย์เสมอ
โดยทั่วไปแล้ว หากสิวไม่ดีขึ้นหลังจากใช้ยาคุมไปแล้วประมาณ 6 เดือน หรือสิวที่เกิดขึ้นสร้างความเจ็บปวด ทิ้งรอยแผลเป็น หรือส่งผลกระทบต่อจิตใจอย่างมาก ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาเปลี่ยนยาคุมไปใช้ยี่ห้อที่มีโปรเจสตินชนิดอื่นซึ่งมีฤทธิ์ต้านแอนโดรเจน (ฮอร์โมนเพศชาย) เช่น ดรอสไพรีโนน (drospirenone) ซึ่งจะช่วยเรื่องสิวได้ดีกว่า
จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เมื่อใด?
ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนยาคุมกำเนิดเสมอ รวมถึงเมื่อมีผลข้างเคียงที่น่ากังวล หรือเมื่อการรักษาสิวไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง
ควรไปพบแพทย์ในสถานการณ์ต่อไปนี้:
- ก่อนเปลี่ยนยา: เพื่อให้แน่ใจว่ายาตัวใหม่เหมาะสมกับสภาพผิวและสามารถคุมกำเนิดได้อย่างต่อเนื่อง
- เมื่อสิวรุนแรง: หากสิวมีอาการเจ็บปวด ทำให้เกิดแผลเป็น หรือส่งผลกระทบต่อจิตใจอย่างมาก
- เมื่ออาการไม่ดีขึ้น: หากใช้ยาไปแล้วประมาณ 6 เดือน แต่สิวก็ยังไม่ดีขึ้น
- เมื่อเกิดอาการแพ้: หากมีผื่นคัน ลมพิษ หรืออาการบวม ซึ่งแตกต่างจากสิวทั่วไป
- เมื่อมีผลข้างเคียงอื่นๆ: เช่น อารมณ์แปรปรวน หรือคลื่นไส้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนหยุดยาด้วยตนเอง
- เมื่อต้องการใช้การรักษาร่วม: หากต้องการใช้ยาทาเฉพาะที่ เช่น เรตินอยด์ หรืออาหารเสริมต่างๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
สิวจากยาคุมอันตรายหรือไม่ และมีสัญญาณเตือนอะไรบ้าง?
โดยทั่วไปแล้ว สิวจากยาคุมไม่อันตราย และมักเป็นผลข้างเคียงชั่วคราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ร่างกายกำลังปรับตัวกับฮอร์โมน ซึ่งโดยปกติแล้วสิวจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 2-3 เดือน
อย่างไรก็ตาม ควรสังเกตสัญญาณเตือนของอาการแพ้ที่รุนแรงกว่าสิว ซึ่งอาจเป็นอันตรายและต้องไปพบแพทย์ทันที ได้แก่
- ผื่นคันหรือลมพิษ (ผื่นแดง นูน คัน)
- อาการบวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก หรือลิ้น
- หายใจลำบากหรือรู้สึกว่าคอบวม ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะภูมิแพ้รุนแรง (Anaphylaxis)
หากสิวที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงมาก เจ็บปวด หรือไม่ดีขึ้นเลยหลังจากผ่านไป 6 เดือน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนยาคุมหรือพิจารณาการรักษาอื่นๆ เพิ่มเติม
อาการแพ้ยาคุมที่นอกเหนือจากสิวมีอะไรบ้าง?
อาการแพ้ยาคุมที่นอกเหนือจากสิว อาจแสดงออกมาในรูปแบบผื่นลมพิษ ผื่นแดงคล้ายโรคผิวหนังอักเสบ (eczema) หรือมีอาการบวม
อาการเหล่านี้แตกต่างจากสิวอย่างชัดเจน โดยมักมีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดง คัน หรือเป็นปื้นแดงลอกเป็นขุย ในกรณีที่แพ้รุนแรง อาจมีอาการบวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก หรือลิ้น ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ โดยทั่วไปแล้ว อาการแพ้มักเกิดจากส่วนประกอบอื่นๆ ในเม็ดยา เช่น สีย้อมหรือสารตัวเติม มากกว่าตัวฮอร์โมนเอง
ผื่นขึ้นจากการแพ้ยาคุมมีลักษณะอย่างไร?
ผื่นที่เกิดจากการแพ้ยาคุมกำเนิดมักมีลักษณะเป็นผื่นแดง นูน คันคล้ายลมพิษ หรือเป็นปื้นคล้ายโรคผิวหนังอักเสบ (eczema) ซึ่งแตกต่างจากสิวอย่างชัดเจน
ลักษณะสำคัญของผื่นแพ้ยาคุม ได้แก่
- มีอาการคันหรือเป็นปื้นนูนแดง ในขณะที่สิวจะเป็นตุ่มอักเสบ
- อาจมีลักษณะเป็นผื่นแดงลอกเป็นขุยได้เช่นกัน
- ผื่นมักจะปรากฏขึ้นไม่นานหลังจากเริ่มรับประทานยาคุมยี่ห้อนั้นๆ
- ในกรณีที่แพ้รุนแรง อาจมีอาการบวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก หรือลิ้นร่วมด้วย ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์
วิธีแก้อาการแพ้ยาคุมฉุกเฉินเบื้องต้นทำได้อย่างไร?
หากมีอาการแพ้รุนแรง เช่น หายใจลำบากหรือใบหน้าและลำคอบวม ให้หยุดยาและไปพบแพทย์ฉุกเฉินทันที เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณของภาวะภูมิแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์
สำหรับอาการแพ้ที่ไม่รุนแรง เช่น ผื่นคันตามผิวหนังโดยไม่มีอาการร้ายแรงอื่นร่วมด้วย ควรติดต่อแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อรับการประเมินและคำแนะนำเพิ่มเติม และไม่ควรรับประทานยาซ้ำหากสงสัยว่ามีอาการแพ้
ควรหยุดยาคุมทันทีหรือไม่หากมีอาการรุนแรง?
ใช่ ควรหยุดยาและไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการรุนแรง อาการที่น่าตกใจซึ่งถือเป็นเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ ได้แก่ หายใจลำบาก หรือมีอาการบวมที่คอ ริมฝีปาก หรือลิ้น
สำหรับผลข้างเคียงที่ไม่เร่งด่วน เช่น สิวระดับปานกลาง คลื่นไส้ หรืออารมณ์แปรปรวน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนหยุดยาด้วยตนเอง เนื่องจากการหยุดยากะทันหันอาจทำให้รอบเดือนมาไม่ปกติได้
5 วิธีป้องกันและลดความเสี่ยงการเกิดสิวจากยาคุม
1. การเลือกชนิดและยี่ห้อยาคุมที่เหมาะสม
การเลือกยาคุมที่เหมาะสมสำหรับรักษาสิว ควรเลือกยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมที่มีตัวยาโปรเจสตินซึ่งมีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเพศชาย (anti-androgenic) เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนในยาคุมจะช่วยลดการทำงานของต่อมไขมันและลดระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนอิสระ ส่วนโปรเจสตินชนิดต้านแอนโดรเจนจะช่วยยับยั้งการเกิดสิว
ยาคุมที่แนะนำสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิว ได้แก่:
- ยาคุมที่มีส่วนผสมของดรอสไพรีโนน (Drospirenone): เช่น ยี่ห้อ Yaz หรือ Yasmin ซึ่งมีประสิทธิภาพในการรักษาสิวระดับปานกลาง
- ยาคุมที่มีส่วนผสมของไซโปรเทอโรน อะซิเตท (Cyproterone Acetate): เช่น ยี่ห้อ Diane-35 ซึ่งมีฤทธิ์ต้านแอนโดรเจนที่แรง และมักใช้รักษาสิวที่รุนแรง
- ยาคุมที่มีส่วนผสมของนอร์เจสติเมท (Norgestimate): เช่น ยี่ห้อ Ortho Tri-Cyclen
ในทางกลับกัน ควรหลีกเลี่ยงยาคุมที่มีโปรเจสตินรุ่นเก่าซึ่งมีฤทธิ์แอนโดรเจนสูง เช่น ลีโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel) เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น การปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเลือกใช้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อให้ได้ยาที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียง
2. การดูแลผิวควบคู่ไปกับการกินยาคุม
การดูแลผิวควบคู่ไปกับการกินยาคุมสามารถทำได้โดย การใช้ยาทารักษาสิวเฉพาะที่เพื่อเสริมประสิทธิภาพการรักษาจากภายในของยาคุม ซึ่งจะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่สามารถใช้ร่วมกับการกินยาคุมได้อย่างปลอดภัย ได้แก่:
- ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด: ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic acid) เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตัน
- ยาทาเฉพาะที่: สามารถใช้เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide) หรือยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) เช่น Adapalene เพื่อลดการอักเสบและป้องกันการเกิดสิวใหม่
- ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว: ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “non-acnegenic” หรือ “non-comedogenic” เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ครีมหรือเครื่องสำอางที่หนักผิวและอาจก่อให้เกิดการอุดตัน
- การดูแลผิวพื้นฐาน: การทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน การควบคุมความมัน การให้ความชุ่มชื้น และการทาครีมกันแดดเป็นประจำ จะช่วยส่งเสริมให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้น
3. การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และอาหาร
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และอาหารที่อาจช่วยเรื่องสิวได้คือ การรับประทานอาหารที่สมดุล ลดความเครียด และนอนหลับให้เพียงพอ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สามารถช่วยสร้างสภาพแวดล้อมภายในร่างกายที่ไม่กระตุ้นให้เกิดสิวจากฮอร์โมนได้
- อาหาร:
- รับประทานอาหารต้านการอักเสบ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด และกรดไขมันโอเมก้า 3 (จากปลา, เมล็ดแฟลกซ์)
- ลดการบริโภคนมและผลิตภัณฑ์จากนม โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงและแอลกอฮอล์
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
- ไลฟ์สไตล์:
- จัดการความเครียด เนื่องจากฮอร์โมนความเครียดสามารถทำให้สิวแย่ลงได้ โดยอาจใช้วิธีออกกำลังกาย โยคะ หรือทำสมาธิ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
4. การใช้ยาทาเฉพาะที่เพื่อควบคุมสิว
คุณสามารถใช้ยาทาเฉพาะที่เพื่อรักษาสิวร่วมกับการทานยาคุมกำเนิดได้อย่างปลอดภัย เนื่องจากยาทาจะออกฤทธิ์เฉพาะที่บนผิวหนังและไม่รบกวนประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิด การใช้ยาทาร่วมด้วยจะช่วยให้สิวยุบเร็วขึ้นในระหว่างที่ยาคุมกำลังปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย
ยาทาเฉพาะที่ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับยาคุมกำเนิดได้ มีดังนี้:
- เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide): ช่วยลดเชื้อแบคทีเรียและการอักเสบของสิว
- ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Topical Retinoids): เช่น อะแดพาลีน (Adapalene) และเตรทติโนอิน (Tretinoin) ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตัน
- ยาปฏิชีวนะชนิดทา (Topical Antibiotics): เช่น คลินดามัยซิน (Clindamycin) หรือยาผสม เช่น Epiduo® ใช้สำหรับรักษาสิวอักเสบ
- คลาสโคเทอโรน (Clascoterone): เป็นยาต้านฮอร์โมนแอนโดรเจนชนิดทาที่ออกฤทธิ์โดยตรงที่ผิวหนังเพื่อควบคุมสิวจากฮอร์โมน
5. การติดตามผลและปรึกษาแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
การติดตามผลกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าแผนการรักษาสิวยังคงเหมาะสมและปลอดภัยสำหรับคุณ
การพบแพทย์เปรียบเสมือนการทำงานร่วมกัน โดยคุณแจ้งอาการและแพทย์จะช่วยประเมินว่ายาคุมกำเนิดที่ใช้อยู่นั้นได้ผลดีและไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย เช่น การตรวจวัดความดันโลหิต โดยทั่วไปแนะนำให้ติดตามผลครั้งแรกหลังเริ่มยา 3 เดือน จากนั้นเป็นทุกๆ 6-12 เดือน หากมีข้อกังวลระหว่างรอนัด ควรติดต่อแพทย์ทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญเล็กน้อยกลายเป็นเรื่องใหญ่
ยาคุมชนิดใดบ้างที่ช่วยรักษาสิวและไม่กระตุ้นให้เกิดสิวเพิ่ม?
ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมที่มีโปรเจสตินซึ่งมีฤทธิ์ต้านแอนโดรเจน (anti-androgenic) เป็นชนิดที่ช่วยรักษาสิวและไม่กระตุ้นให้เกิดสิวเพิ่ม ยาคุมกลุ่มนี้ทำงานโดยใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนเพื่อลดการผลิตไขมันบนใบหน้าและลดระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนอิสระ ในขณะที่โปรเจสตินชนิดพิเศษจะช่วยยับยั้งการทำงานของฮอร์โมนเพศชายที่กระตุ้นต่อมไขมัน
ยาคุมที่มักถูกแนะนำสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิว ได้แก่:
- ยาคุมที่มีดรอสไพรีโนน (Drospirenone) เช่น ยี่ห้อ Yaz หรือ Yasmin
- ยาคุมที่มีไซโปรเทอโรน อะซิเตท (Cyproterone Acetate) เช่น ยี่ห้อ Diane-35 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงแต่มีความเสี่ยงเรื่องลิ่มเลือดอุดตันสูงกว่า จึงมักใช้ในกรณีสิวรุนแรง
- ยาคุมที่มีนอร์เจสติเมต (Norgestimate) เช่น ยี่ห้อ Ortho Tri-Cyclen
ในทางตรงกันข้าม ควรหลีกเลี่ยงยาคุมที่มีโปรเจสตินรุ่นเก่าซึ่งมีฤทธิ์แอนโดรเจนสูง (เช่น levonorgestrel) และยาคุมชนิดฮอร์โมนเดี่ยว (mini-pill) เนื่องจากอาจกระตุ้นให้เกิดสิวในบางรายได้
กลุ่มยาคุมที่มีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเพศชาย (Anti-androgenic)
กลุ่มยาคุมที่มีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเพศชาย (anti-androgenic) คือยาคุมที่ประกอบด้วยโปรเจสตินรุ่นใหม่ เช่น โดรสไพรีโนน (drospirenone), ไซโปรเทอโรน อะซิเตท (cyproterone acetate) หรือไดอีโนเจสท์ (dienogest) ยาเหล่านี้ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งตัวรับแอนโดรเจน (androgen receptors) ทำให้ช่วยลดการผลิตไขมันบนใบหน้า (sebum) และลดการเกิดสิว
ตัวอย่างยาคุมกลุ่มนี้ที่ถูกกล่าวถึง ได้แก่:
- Yaz และ Yasmin: ประกอบด้วยโดรสไพรีโนน (drospirenone)
- Diane-35: ประกอบด้วยไซโปรเทอโรน อะซิเตท (cyproterone acetate) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านแอนโดรเจนที่แรง และมักใช้รักษาสิวที่รุนแรง
ยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมเหล่านี้ทำงานโดยใช้เอสโตรเจนเพื่อลดระดับเทสโทสเตอโรน และใช้โปรเจสตินชนิดพิเศษเพื่อยับยั้งฮอร์โมนแอนโดรเจนที่เหลือไม่ให้กระตุ้นต่อมไขมัน
เปรียบเทียบยาคุมรักษาสิวยอดนิยม: Yaz, Yasmin, Diane-35
Yaz, Yasmin และ Diane-35 ล้วนมีประสิทธิภาพในการรักษาสิว แต่มีความแตกต่างกันในด้านส่วนประกอบ ปริมาณยา และความเสี่ยงของผลข้างเคียง โดย Diane-35 มีประสิทธิภาพสูงที่สุดแต่ก็มีความเสี่ยงเรื่องลิ่มเลือดอุดตันสูงที่สุดเช่นกัน ในขณะที่ Yaz และ Yasmin มีความเสี่ยงต่ำกว่าและถูกใช้อย่างแพร่หลาย
ตารางเปรียบเทียบยาคุมรักษาสิวทั้ง 3 ชนิด:
คุณสมบัติ | Yaz | Yasmin | Diane-35 |
---|---|---|---|
ส่วนประกอบ | Drospirenone + Ethinyl Estradiol (เอสโตรเจนต่ำกว่า) | Drospirenone + Ethinyl Estradiol | Cyproterone Acetate + Ethinyl Estradiol |
ประสิทธิภาพ | มีประสิทธิภาพสูง ได้รับการรับรองจาก FDA สำหรับรักษาสิวระดับปานกลาง | มีประสิทธิภาพสูง คล้ายกับ Yaz | มีประสิทธิภาพสูงมาก อาจลดจำนวนสิวได้ดีกว่าตัวอื่นเล็กน้อย |
ความเสี่ยงลิ่มเลือด | สูงกว่ายาคุมรุ่นเก่า 1.5–2 เท่า | สูงกว่ายาคุมรุ่นเก่า 1.5–2 เท่า | สูงที่สุดในกลุ่มนี้ (สูงกว่ายาคุมรุ่นเก่า 3–4 เท่า) |
ข้อบ่งใช้/ข้อสังเกต | รอบการทานยา 24 วัน ช่วยรักษาอาการ PMDD ได้ด้วย | รอบการทานยา 21 วัน | มักใช้สำหรับสิวรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น |
ทางเลือกอื่นในการรักษาสิวฮอร์โมนที่ไม่ใช่การใช้ยาคุม
ยาปรับฮอร์โมนชนิดอื่นที่แพทย์อาจแนะนำ
ยาปรับฮอร์โมนชนิดอื่นที่แพทย์อาจแนะนำคือยาเม็ดสไปโรโนแลคโตน (spironolactone) และยาใช้ภายนอกคลาสโคเทอโรน (clascoterone) ซึ่งเป็นทางเลือกนอกเหนือจากยาคุมกำเนิด
แพทย์อาจพิจารณาทางเลือกในการรักษาสิวฮอร์โมนดังนี้:
- สไปโรโนแลคโตน (Spironolactone): เป็นยาชนิดรับประทานที่ออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมนแอนโดรเจนโดยตรง แม้จะไม่ใช่ยาคุมกำเนิด แต่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาสิวฮอร์โมนในผู้หญิง
- คลาสโคเทอโรน (Clascoterone): เป็นยาในรูปแบบครีมทาผิวที่ช่วยยับยั้งฮอร์โมนเฉพาะที่ผิวหนัง จึงมีผลข้างเคียงต่อระบบร่างกายน้อยกว่า และสามารถใช้ได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย
- การเปลี่ยนชนิดยาคุมกำเนิด: แพทย์อาจแนะนำให้เปลี่ยนไปใช้ยาคุมกำเนิดที่มีโปรเจสตินชนิดต้านแอนโดรเจน เช่น ดรอสไพรีโนน (drospirenone) หรือ ไซโปรเทอโรน อะซิเตท (cyproterone acetate) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อช่วยรักษาสิวโดยเฉพาะ
อาหารเสริมและวิตามินที่ช่วยลดสิวฮอร์โมน
อาหารเสริมบางชนิดที่อาจช่วยเรื่องสิวฮอร์โมนได้แก่ โปรไบโอติก, สังกะสี (ซิงค์), และกรดไขมันโอเมก้า 3 อย่างไรก็ตาม อาหารเสริมเหล่านี้ถือเป็นเพียงตัวช่วยเสริมการรักษาหลักเท่านั้น
อาหารเสริมแต่ละชนิดมีคุณสมบัติดังนี้:
- โปรไบโอติก (Probiotics): โดยทั่วไปมีความปลอดภัยและอาจเป็นตัวช่วยเสริมที่ดี แต่ไม่สามารถรักษาสิวได้ด้วยตัวเอง
- สังกะสี (Zinc): มีหลักฐานว่าช่วยลดการอักเสบและมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียเล็กน้อย จึงอาจช่วยลดความรุนแรงของสิวอักเสบได้
- กรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3): อาจช่วยลดการอักเสบในร่างกาย แต่ยังต้องการงานวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพ
- Myo-inositol: มีแนวโน้มที่ดีในการช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนและลดสิวในผู้ป่วยที่มีภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)
ในทางกลับกัน ควรระมัดระวังอาหารเสริมบางชนิด เช่น DIM (diindolylmethane) ซึ่งยังไม่มีหลักฐานทางคลินิกว่าช่วยลดสิวได้และอาจมีผลข้างเคียงรุนแรง รวมถึงไบโอติน (Biotin) ในปริมาณสูงซึ่งอาจรบกวนผลตรวจเลือดและอาจทำให้สิวแย่ลงได้ สิ่งสำคัญคือควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานอาหารเสริมทุกชนิด
References
-
National Institutes of Health – nih.gov
-
Practical Dermatology – practicaldermatology.com
- Cleveland Clinic – clevelandclinic.org
- Contemporary OB/GYN – contemporaryobgyn.net