ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อันตรายไหม มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร และช่วยแก้ปัญหาใดได้บ้าง?
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาคือ การเติมสารไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) เพื่อแก้ไขปัญหาร่องลึกและเบ้าตาโหล ทำให้ใบหน้าโดยรวมดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น
ฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ได้ดังนี้:
- เติมเต็มร่องลึกใต้ตา: ช่วยให้บริเวณใต้ตาที่ลึกหรือโหลดูตื้นขึ้น ทำให้รอยต่อระหว่างใต้ตากับแก้มดูเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ
- ลดรอยคล้ำใต้ตา: การเติมเต็มร่องลึกจะช่วยลดเงาที่ทำให้ใต้ตาดูคล้ำ ส่งผลให้ใต้ตาดูกระจ่างใสขึ้น (วิธีนี้จะได้ผลดีกับรอยคล้ำที่เกิดจากเงา ไม่ใช่จากเม็ดสีหรือเส้นเลือด)
- ลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ: สารไฮยาลูโรนิกจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและพยุงผิวที่บาง ทำให้ริ้วรอยเล็กๆ ใต้ตาดูจางลงและผิวดูเรียบเนียนขึ้น
ฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยแก้ปัญหาร่องลึก
ฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยแก้ปัญหาร่องลึกโดยการเติมเต็มปริมาตรที่สูญเสียไปบริเวณขอบเบ้าตา การเติมเต็มนี้จะช่วยสร้างความเชื่อมต่อที่ดูเป็นธรรมชาติระหว่างเปลือกตาล่างและแก้ม ทำให้บริเวณใต้ตาดูโหว่หรือเป็นร่องลึกลดลง นอกจากนี้ การยกตัวของร่องน้ำตาที่ยุบตัวลงยังช่วยลดเงาที่ทำให้ใต้ตาดูคล้ำ ส่งผลให้ใต้ตาดูสว่างขึ้น
ฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยลดรอยคล้ำ
ฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถช่วยลดรอยคล้ำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่รอยคล้ำเกิดจากเงาของร่องลึกใต้ตา
การฉีดฟิลเลอร์จะเข้าไปเติมเต็มปริมาตรที่ขาดหายไปบริเวณร่องน้ำตา ช่วยยกผิวที่ยุบตัวให้ตื้นขึ้น ทำให้เงาที่ทำให้ใต้ตาดูคล้ำลดลงและบริเวณดังกล่าวดูสว่างขึ้น อย่างไรก็ตาม ฟิลเลอร์จะมีประสิทธิภาพน้อยลงหากรอยคล้ำเกิดจากปัญหาเม็ดสี (hyperpigmentation) หรือเส้นเลือดที่มองเห็นได้ชัดเจน
ฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยเติมเต็มริ้วรอย
ฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยตื้นๆ และร่องลึกใต้ตาได้ โดยกรดไฮยาลูรอนิกในฟิลเลอร์จะช่วยเพิ่มปริมาตรใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวที่บางและมีริ้วรอยตื้นๆ ถูกยืดออกและเรียบเนียนขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยปรับปรุงเนื้อสัมผัสและความกระชับของผิวโดยรวมในบริเวณนั้นด้วย
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นอย่างไร?
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาประกอบด้วยการปรึกษาและเตรียมผิว การฉีดฟิลเลอร์ และการปั้นจัดทรงหลังฉีด ซึ่งแต่ละขั้นตอนมีรายละเอียดดังนี้
- การปรึกษาและเตรียมการ: แพทย์จะประเมินปัญหาใต้ตา วางแผนการรักษา และให้คำแนะนำ จากนั้นจะทายาชาเฉพาะที่ประมาณ 20-30 นาที และทำความสะอาดผิวบริเวณที่จะฉีดให้ปราศจากเชื้อ
- การฉีดฟิลเลอร์: แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กหรือเข็มปลายทู่ (Cannula) ฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณน้อยๆ เข้าไปในชั้นลึกเหนือกระดูกใต้ตาตามแนวร่องน้ำตา ซึ่งขั้นตอนนี้ใช้เวลาเพียง 5-10 นาที
- การปั้นจัดทรง: หลังจากฉีดเสร็จ แพทย์อาจนวดคลึงเบาๆ เพื่อปั้นให้ฟิลเลอร์เรียบเนียนและเข้าที่ ผู้รับบริการจะสามารถเห็นผลลัพธ์ว่าร่องลึกดูตื้นขึ้นได้ทันที
การประเมินและวางแผนการรักษา
การประเมินและวางแผนการรักษาเริ่มต้นจากการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินลักษณะทางกายวิภาคของคนไข้และสร้างแผนการรักษาที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล
กระบวนการนี้ประกอบด้วยขั้นตอนต่อไปนี้:
- การประเมินปัญหา: แพทย์จะประเมินความรุนแรงของร่องน้ำตาและระบุสาเหตุของรอยคล้ำใต้ตา ว่าเกิดจากเงาของความลึกหรือเกิดจากเม็ดสีผิว
- การซักประวัติ: แพทย์จะตรวจสอบประวัติทางการแพทย์ของคนไข้ รวมถึงประวัติการฉีดฟิลเลอร์หรือภาวะสุขภาพอื่นๆ ที่ผ่านมา
- การวางแผน: แพทย์จะเลือกชนิดและปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับความต้องการของคนไข้ และอาจพิจารณาแก้ไขปัญหาแก้มส่วนกลางร่วมด้วยเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- การให้ข้อมูลและขอความยินยอม: แพทย์จะอธิบายถึงผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ตามความเป็นจริง (เช่น ฟิลเลอร์อาจไม่สามารถกำจัดรอยคล้ำจากเม็ดสีได้ทั้งหมด) และขอความยินยอมจากคนไข้ก่อนทำการรักษา
การเตรียมผิวก่อนการฉีด
ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรเตรียมผิวโดยการหลีกเลี่ยงยา อาหารเสริม และแอลกอฮอล์ที่ทำให้เลือดออกง่าย รวมถึงหยุดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่รุนแรงบริเวณรอบดวงตา
เพื่อลดความเสี่ยงของอาการช้ำและผลข้างเคียงอื่นๆ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:
- งดยาและอาหารเสริม: หลีกเลี่ยงยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน และอาหารเสริมที่ทำให้เลือดบางลง เช่น วิตามินอี, น้ำมันปลา, แปะก๊วย, กระเทียม และโสม เป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนการรักษา
- งดแอลกอฮอล์: หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลา 24-48 ชั่วโมงก่อนการฉีด
- หยุดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่รุนแรง: งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์หรือกรดต่างๆ บริเวณรอบดวงตา 2-3 วันก่อนการฉีด
- หลีกเลี่ยงการกำจัดขน: ไม่ควรกำจัดขนด้วยการแว็กซ์หรือถอนบริเวณใกล้เคียงก่อนการรักษา
- มาด้วยผิวที่สะอาด: ควรมาถึงคลินิกด้วยใบหน้าที่สะอาดและปราศจากเครื่องสำอาง
เทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
เทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถทำได้โดยใช้เข็มปลายแหลมขนาดเล็ก หรือเข็มปลายทู่ (Cannula) ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ตามความถนัดและกายวิภาคของผู้ป่วยแต่ละราย
โดยมีรายละเอียดของแต่ละเทคนิคดังนี้
- การใช้เข็มปลายแหลม (Needle): แพทย์มักใช้เทคนิคการเดินยาเป็นเส้นตรงขณะถอยเข็ม (Retrograde linear threading) ซึ่งช่วยให้วางตำแหน่งฟิลเลอร์ได้อย่างแม่นยำ
- การใช้เข็มปลายทู่ (Cannula): จะสอดผ่านจุดเปิดผิวเพียงจุดเดียวบริเวณแก้ม เทคนิคนี้ช่วยลดการเกิดรอยช้ำและลดความเสี่ยงที่จะฉีดเข้าหลอดเลือด แต่ความแม่นยำอาจน้อยกว่าการใช้เข็ม
ไม่ว่าจะใช้เทคนิคใด ฟิลเลอร์จะถูกฉีดในชั้นลึกใต้กล้ามเนื้อรอบดวงตาและเหนือกระดูก เพื่อป้องกันการเกิดก้อนหรือเห็นฟิลเลอร์เป็นสีฟ้าอมเทา (Tyndall effect)
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายไหม และมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
โดยทั่วไปแล้ว การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาถือว่ามีความปลอดภัยสูงและมีอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่ำ หากทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม การรักษานี้มีความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้
ผลข้างเคียงที่พบได้แบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้
- ผลข้างเคียงทั่วไปที่พบได้บ่อย: อาการเหล่านี้มักไม่รุนแรงและหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
- อาการบวมและรอยช้ำบริเวณที่ฉีด
- อาการปวดหรือเจ็บบริเวณที่ฉีด
- ผลข้างเคียงที่พบได้ไม่บ่อย แต่สามารถแก้ไขได้:
- การเป็นก้อน (Lumps): เกิดจากการวางฟิลเลอร์ไม่สม่ำเสมอ สามารถแก้ไขได้ด้วยการนวดเบาๆ หรือฉีดสลายฟิลเลอร์
- ปรากฏการณ์ทินดอลล์ (Tyndall Effect): ผิวใต้ตาเห็นเป็นสีฟ้าอมเทา เกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ตื้นเกินไป สามารถแก้ไขได้โดยการฉีดสลายฟิลเลอร์
- ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงแต่พบได้น้อยมาก:
- การอุดตันของเส้นเลือด (Vascular Occlusion): เป็นภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงที่สุด เกิดขึ้นเมื่อฟิลเลอร์เข้าสู่เส้นเลือด อาจนำไปสู่ภาวะเนื้อเยื่อขาดเลือดหรือเนื้อตายได้
- การสูญเสียการมองเห็น: เป็นกรณีที่พบได้ยากอย่างยิ่ง เกิดจากฟิลเลอร์เข้าไปอุดตันในเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา
ความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงจะลดลงอย่างมากเมื่อเลือกทำกับแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญด้านกายวิภาคและใช้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาคืออาการบวม รอยช้ำ และอาการเจ็บบริเวณที่ฉีด ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอาการเหล่านี้จะไม่รุนแรงและจะหายไปได้เอง
อาการบวมมักจะยุบลงภายใน 2-3 วัน ในขณะที่รอยช้ำจะค่อยๆ จางหายไปในเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ส่วนอาการเจ็บหรือปวดเล็กน้อยก็เป็นเรื่องปกติและจะหายไปในเวลาไม่กี่วันเช่นกัน
อาการบวมและรอยช้ำ
อาการบวมและรอยช้ำเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยที่สุดและเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวหลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
โดยทั่วไปอาการบวมจะค่อยๆ ยุบลงภายใน 2-3 วัน ส่วนรอยช้ำจะจางหายไปในเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ อาการเหล่านี้ถือเป็นปฏิกิริยาปกติของร่างกายและสามารถหายได้เอง
อาการเป็นก้อนใต้ผิวหนัง
อาการเป็นก้อนหรือผิวไม่เรียบเนียน เป็นผลข้างเคียงที่พบได้ไม่บ่อยหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ซึ่งมักเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่สม่ำเสมอหรือเป็นปฏิกิริยาบวมของร่างกาย
ก้อนส่วนใหญ่มักมองไม่เห็นและสามารถนิ่มลงได้ด้วยการนวดเบาๆ ภายใน 2-3 วัน แต่หากก้อนยังคงอยู่ แพทย์สามารถฉีดสลายด้วยเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (hyaluronidase) เพื่อทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียนได้
อาการเจ็บหรือปวดบริเวณที่ฉีด
เป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกเจ็บหรือปวดบริเวณที่ฉีด และถือเป็นผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไปหลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
อาการมักไม่รุนแรงและจะหายไปเองภายใน 2-3 วัน โดยผู้ป่วยประมาณ 20%–38% จะพบอาการนี้ ซึ่งถือเป็นปฏิกิริยาปกติของร่างกาย
ความเสี่ยงที่รุนแรงแต่พบได้น้อย
ความเสี่ยงที่รุนแรงที่สุดแต่พบได้น้อยมากจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาคือ การอุดตันของเส้นเลือดและการสูญเสียการมองเห็น
ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อฟิลเลอร์เข้าไปในหลอดเลือดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งอาจขัดขวางการไหลเวียนของเลือดและนำไปสู่การตายของเนื้อเยื่อผิวหนัง (skin necrosis) ในกรณีที่พบได้ยากยิ่งกว่านั้น หากฟิลเลอร์เข้าสู่เส้นเลือดที่เชื่อมต่อกับจอประสาทตา อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงเหล่านี้พบได้น้อยมากและสามารถจัดการได้ทันทีโดยการฉีดสลายฟิลเลอร์ด้วยไฮยาลูโรนิเดส (hyaluronidase) โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
วิธีรับมือเมื่อฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน
ก้อนฟิลเลอร์ใต้ตาส่วนใหญ่สามารถแก้ไขได้ด้วยการนวดเบาๆ แต่หากก้อนยังคงอยู่ แพทย์สามารถฉีดเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) เพื่อสลายฟิลเลอร์และทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
โดยทั่วไปแล้ว ก้อนเล็กๆ ที่เกิดขึ้นหลังการฉีดมักเกิดจากการบวมหรือการวางฟิลเลอร์ที่ไม่สม่ำเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่มองไม่เห็นและจะนิ่มลงได้เองด้วยการนวดเบาๆ ภายในเวลาไม่กี่วัน แต่หากก้อนไม่หายไป การฉีดสลายฟิลเลอร์โดยแพทย์เป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหา
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?
โดยทั่วไปแล้วผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี แต่ระยะเวลาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยทั่วไปจะอยู่ในช่วง 9–18 เดือน
ปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลาของผลลัพธ์ ได้แก่:
- ชนิดของฟิลเลอร์: ฟิลเลอร์ที่มีเนื้อแน่นและมีการเชื่อมขวางของโมเลกุลสูงมักจะอยู่ได้นานกว่า
- การเผาผลาญของร่างกาย: ผู้ที่มีระบบเผาผลาญเร็วหรือออกกำลังกายหนักอาจพบว่าฟิลเลอร์สลายตัวเร็วขึ้น (อาจต้องเติมใน 6–9 เดือน)
- ไลฟ์สไตล์: การดูแลผิว การป้องกันแสงแดด และการไม่สูบบุหรี่สามารถช่วยยืดอายุผลลัพธ์ได้
เพื่อคงผลลัพธ์ให้ดีที่สุด แพทย์มักแนะนำให้กลับมาเติมฟิลเลอร์เล็กน้อยทุกๆ 12 เดือน
ปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาของฟิลเลอร์
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อระยะเวลาของฟิลเลอร์ใต้ตาคือ ปัจจัยส่วนบุคคล, ชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้ และไลฟ์สไตล์
ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อระยะเวลาที่ฟิลเลอร์จะคงอยู่ ดังนี้:
- ปัจจัยส่วนบุคคล: คนที่มีระบบเผาผลาญเร็วหรือออกกำลังกายหนัก ฟิลเลอร์อาจสลายตัวเร็วกว่า ในขณะที่คนที่อายุมากกว่าหรือมีกิจกรรมน้อย ฟิลเลอร์อาจอยู่ได้นานกว่า
- ชนิดของฟิลเลอร์: ฟิลเลอร์ที่มีความหนาและมีการเชื่อมขวางของโมเลกุลสูง (cross-linked) มักจะอยู่ได้นานกว่าฟิลเลอร์ที่นิ่มและละเอียด
- บริเวณที่ฉีด: บริเวณใต้ตาซึ่งมีการเคลื่อนไหวน้อยกว่าส่วนอื่น ๆ ของใบหน้า มักจะทำให้ฟิลเลอร์คงอยู่ได้นานกว่า
- ไลฟ์สไตล์: การดูแลตัวเอง เช่น การไม่สูบบุหรี่และการป้องกันผิวจากแสงแดด สามารถช่วยยืดอายุของฟิลเลอร์ได้
ระยะเวลาโดยเฉลี่ยของฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ
ระยะเวลาโดยเฉลี่ยของฟิลเลอร์ใต้ตาจะแตกต่างกันไปตามยี่ห้อ โดยทั่วไป Restylane จะอยู่ได้นานที่สุด ตามมาด้วย Juvéderm และ Neuramis
- Restylane: อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน และในบางกรณีอาจนานถึง 15–18 เดือน
- Juvéderm: อยู่ได้นานประมาณ 9–12 เดือน แต่ในบางรายอาจอยู่ได้นานถึง 1.5 ปี
- Neuramis: อยู่ได้นานประมาณ 9–12 เดือน
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเท่าไหร่ และต้องใช้กี่ CC?
โดยทั่วไป ราคาฟิลเลอร์ใต้ตาจะอยู่ที่ประมาณ 19,380–48,450 บาทต่อซีซี และมักใช้ปริมาณรวม 0.5–1 ซีซีสำหรับตาทั้งสองข้าง
สำหรับปริมาณที่ใช้จะขึ้นอยู่กับความลึกของร่องใต้ตา โดยแพทย์จะยึดหลัก “น้อยแต่ได้ผล” เพื่อความเป็นธรรมชาติ
- ร่องใต้ตาตื้น: อาจใช้เพียง 0.2–0.3 ซีซีต่อข้าง
- ร่องใต้ตาลึก: อาจต้องใช้ประมาณ 0.5 ซีซีต่อข้าง
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ใช้ฟิลเลอร์ทั้งหมดไม่เกิน 1 ซีซี (1 หลอด) สำหรับการรักษาครั้งแรก และแพทย์จะหลีกเลี่ยงการเติมมากเกินไปในครั้งเดียวเพื่อป้องกันปัญหาฟิลเลอร์เป็นก้อนหรือบวมผิดปกติ
ปริมาณฟิลเลอร์ (CC) ที่แนะนำสำหรับปัญหาแต่ละระดับ
ปริมาณฟิลเลอร์ที่แนะนำจะแตกต่างกันไปตามความลึกของร่องใต้ตา โดยแพทย์จะใช้หลักการ “น้อยแต่มาก” เพื่อให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติที่สุด
- ร่องใต้ตาตื้นเล็กน้อย: อาจใช้ฟิลเลอร์เพียง 0.2–0.3 มล. ต่อข้าง
- ร่องใต้ตาลึก: อาจต้องใช้ประมาณ 0.5 มล. ต่อข้าง
- กรณีทั่วไป: ผู้ที่มีการสูญเสียปริมาตรมากส่วนใหญ่มักจะใช้ฟิลเลอร์รวมทั้งหมด 1 ซีซี (1 หลอด) สำหรับทั้งสองข้าง โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าไม่ควรฉีดเกิน 1 มล. ต่อข้างในครั้งเดียว
ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ต้ายี่ห้อไหน และที่ไหนดี?
การเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ใต้ตาขึ้นอยู่กับลักษณะปัญหาของแต่ละบุคคล ส่วนการเลือกสถานพยาบาลควรให้ความสำคัญกับคุณสมบัติของแพทย์และความปลอดภัยเป็นหลัก โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสมที่สุดให้
ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่นิยมใช้
ยี่ห้อฟิลเลอร์แต่ละชนิดมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป ดังนี้
- Restylane เป็นยี่ห้อที่นิยมใช้มากที่สุด มีเนื้อเจลแน่น ให้การสนับสนุนโครงสร้างได้ดี เหมาะสำหรับผู้ที่มีร่องลึก และมีข้อดีคืออุ้มน้ำน้อย ทำให้เกิดอาการบวมได้น้อย
- Juvéderm มีเนื้อเจลที่นิ่มและเรียบเนียนกว่า เหมาะสำหรับเติมเต็มริ้วรอยเล็กๆ หรือร่องที่ไม่ลึกมาก แต่มีแนวโน้มอุ้มน้ำมากกว่า Restylane จึงอาจทำให้บวมได้ง่ายกว่า
- Neuramis เป็นฟิลเลอร์จากเกาหลีใต้ที่ได้รับความนิยมในเอเชีย มีความแน่นปานกลางระหว่างสองยี่ห้อแรก ให้ผลลัพธ์ที่เรียบเนียนและมีอาการบวมน้อย
เปรียบเทียบฟิลเลอร์ใต้ต้ายี่ห้อชั้นนำ (Restylane, Juvederm, Neuramis)
ฟิลเลอร์ใต้ตาชั้นนำอย่าง Restylane, Juvederm และ Neuramis แตกต่างกันที่เนื้อสัมผัส การอุ้มน้ำ และระยะเวลาคงผล โดย Restylane มีเนื้อแน่น เหมาะสำหรับร่องลึก, Juvederm มีเนื้อนิ่มเนียน เหมาะสำหรับริ้วรอยเล็กๆ และ Neuramis มีคุณสมบัติอยู่ระหว่างกลางและเป็นที่นิยมในเอเชีย
ตารางเปรียบเทียบฟิลเลอร์ใต้ตาแต่ละยี่ห้อ:
คุณสมบัติ | Restylane | Juvederm | Neuramis |
---|---|---|---|
เนื้อสัมผัส | เจลเนื้อแน่น มีความคงตัวสูง เหมาะกับการยกพยุงผิว | เจลเนื้อนิ่ม เรียบเนียน กระจายตัวได้ดี | เนื้อแน่นปานกลาง มีความหนืดและยืดหยุ่นอยู่ระหว่างสองยี่ห้อแรก |
เหมาะสำหรับ | ร่องลึกที่ต้องการการยกกระชับและพยุงโครงสร้างผิว | ร่องลึกตื้นๆ และริ้วรอยเล็กๆ ที่ต้องการความเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ | ร่องลึกปานกลางที่ต้องการผลลัพธ์ที่เรียบเนียน |
การอุ้มน้ำ/อาการบวม | อุ้มน้ำน้อย ทำให้เกิดอาการบวมได้น้อยกว่า | อุ้มน้ำได้ดีกว่า อาจทำให้บวมได้มากกว่า | มีคุณสมบัติสมดุล ทำให้เกิดอาการบวมน้อย |
ระยะเวลาคงผล | ประมาณ 12 เดือน (อาจนานถึง 15-18 เดือน) | ประมาณ 9-12 เดือน (อาจนานถึง 1.5 ปี) | ประมาณ 9-12 เดือน |
การรับรอง | ผ่านการรับรองจาก FDA สหรัฐอเมริกา (รุ่น Eyelight สำหรับใต้ตาโดยเฉพาะ) | ผ่านการรับรองจาก FDA สหรัฐอเมริกา | ผ่านการรับรองจาก KFDA เกาหลี และ CE Mark ยุโรป |
มีหลักเกณฑ์อะไรบ้างในการเลือกคลินิกและแพทย์เพื่อฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา?
หลักเกณฑ์สำคัญที่สุดคือการเลือกแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม มีความเชี่ยวชาญ และมีความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับกายวิภาครอบดวงตา เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับการรักษาที่ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดี
ข้อควรพิจารณาในการเลือกแพทย์และคลินิกมีดังนี้:
- คุณสมบัติและประสบการณ์ของแพทย์
- ใบรับรองวุฒิบัตร: แพทย์ควรได้รับการรับรองวุฒิบัตรเฉพาะทาง เช่น สาขาตจวิทยา (แพทย์ผิวหนัง) หรือศัลยกรรมตกแต่ง
- ประสบการณ์: แพทย์ที่มีประสบการณ์มากกว่า 5 ปี มีแนวโน้มที่จะพบภาวะแทรกซ้อนจากการฉีดฟิลเลอร์น้อยกว่า
- ความโปร่งใส: แพทย์ที่ดีจะสามารถอธิบายแผนการรักษาและขั้นตอนรับมือเหตุฉุกเฉินได้ เช่น การเตรียมยาไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) ไว้พร้อมเสมอ
- มาตรฐานของคลินิก
- การกำกับดูแลโดยแพทย์: หากเป็นคลินิกเสริมความงาม (Medspa) ต้องแน่ใจว่ามีแพทย์ที่ได้รับการรับรองเป็นผู้กำกับดูแลการรักษาอย่างใกล้ชิด
- ความปลอดภัย: คลินิกควรให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ป่วย เช่น มีการฆ่าเชื้อที่เหมาะสม และมีการนัดหมายเพื่อติดตามผล
- การสื่อสาร: ควรเลือกคลินิกที่ยินดีตอบคำถาม ให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์อย่างโปร่งใส และไม่เร่งรัดให้ตัดสินใจ
- สัญญาณเตือนที่ควรระวัง
- หลีกเลี่ยงผู้ให้บริการที่ใช้ตำแหน่งทางการตลาดที่ไม่ใช่คุณวุฒิทางการแพทย์ เช่น “ผู้เชี่ยวชาญการฉีด” (Injection Specialist)
- ระวังคลินิกที่ไม่ยอมแสดงกล่องหรือยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่ใช้
- ตรวจสอบรีวิวจากผู้ใช้บริการจริงและดูภาพก่อน-หลังการรักษาเพื่อประกอบการตัดสินใจ
ต้องเตรียมตัวและดูแลตัวเองอย่างไรก่อนและหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา?
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาคือการงดใช้ยาและอาหารเสริมที่ทำให้เลือดออกง่าย ส่วนการดูแลหลังฉีดจะเน้นการลดบวมและหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่กระทบกระเทือนผิว
การเตรียมตัวก่อนฉีด:
- งดยาและอาหารเสริม: หลีกเลี่ยงยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน) และอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด (เช่น วิตามินอี, น้ำมันปลา, ใบแปะก๊วย) เป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์
- งดแอลกอฮอล์: ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลา 24-48 ชั่วโมงก่อนฉีด เพื่อลดความเสี่ยงของอาการบวมและรอยช้ำ
- งดสกินแคร์บางชนิด: หยุดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์รุนแรง เช่น เรตินอยด์ หรือกรดผลัดเซลล์ผิว บริเวณรอบดวงตา 2-3 วันก่อนทำ
- เตรียมผิวให้พร้อม: มาพบแพทย์ด้วยใบหน้าที่สะอาดปราศจากเครื่องสำอาง และควรวางแผนเผื่อเวลาพักฟื้นอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนมีกิจกรรมสำคัญ
การดูแลตัวเองหลังฉีด:
- ประคบเย็น: ในช่วงแรกหลังฉีด สามารถประคบเย็นบริเวณที่ฉีดครั้งละ 10-15 นาที เพื่อช่วยลดอาการบวม
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส: ห้ามถู นวด หรือกดบริเวณที่ฉีดด้วยตนเอง เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ได้
- ปรับท่านอน: ควรนอนหนุนหมอนสูงขึ้นเล็กน้อยใน 1-2 คืนแรก และหลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหน้า
- งดกิจกรรมบางอย่าง: หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนัก การสัมผัสความร้อนสูง (เช่น ซาวน่า, สตรีม) และการดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง
- งดแต่งหน้า: ไม่ควรแต่งหน้าหรือทาครีมบริเวณรอยเข็มเป็นเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- พบแพทย์ตามนัด: ควรไปพบแพทย์เพื่อติดตามผลตามที่นัดหมายไว้
ข้อควรปฏิบัติก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์
ข้อควรปฏิบัติที่สำคัญที่สุดก่อนฉีดฟิลเลอร์คือการงดรับประทานยา อาหารเสริม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ รวมถึงการเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับการฉีด
ข้อควรปฏิบัติอื่นๆ มีดังนี้:
- งดยาและอาหารเสริม: หลีกเลี่ยงยาแอสไพริน, ไอบูโพรเฟน (NSAIDs), วิตามินอี, น้ำมันปลา, จิงโกะ, กระเทียม และโสม เป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนการฉีด
- งดแอลกอฮอล์: ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลา 24-48 ชั่วโมงก่อนทำ
- งดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางชนิด: หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์, เรตินอล หรือกรดไกลโคลิกบริเวณที่จะฉีด 2-3 วัน
- งดการกำจัดขน: ไม่ควรถอนหรือแว็กซ์ขนบริเวณรอบดวงตาก่อนการฉีด
- เตรียมตัวในวันนัด: ควรมาถึงคลินิกด้วยใบหน้าที่สะอาดและปราศจากเครื่องสำอาง
- วางแผนล่วงหน้า: ควรเว้นระยะเวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนมีงานสำคัญ เผื่อในกรณีที่เกิดรอยช้ำหรืออาการบวม
ข้อห้ามสำคัญหลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
ข้อห้ามสำคัญหลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาคือ การหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดแรง ความร้อนสูง และการสัมผัสหรือกดบริเวณที่ฉีด เพื่อให้ฟิลเลอร์เข้าที่และลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง
ข้อปฏิบัติตัวและข้อห้ามที่สำคัญมีดังนี้:
- งดออกกำลังกายหนัก: ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือยกของหนักเป็นเวลา 24–48 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงความร้อน: งดการเข้าซาวน่า ห้องสตรีม หรือโยคะร้อนเป็นเวลาหลายวัน
- งดดื่มแอลกอฮอล์: ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ใน 1–2 วันแรก เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงของอาการบวมและรอยช้ำ
- ห้ามนวดหรือกดทับ: ไม่ควรถู นวด หรือกดบริเวณที่ฉีดด้วยตนเอง และควรนอนหงายโดยหนุนหมอนสูงขึ้นเล็กน้อยใน 1–2 คืนแรก
- งดแต่งหน้า: หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหรือทาครีมบริเวณรอยเข็มในวันแรกเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงทรีตเมนต์ใบหน้า: งดการทำทรีตเมนต์ นวดหน้า หรือเลเซอร์บริเวณที่ฉีดเป็นเวลาอย่างน้อย 1–2 สัปดาห์
References
- Cleveland Clinic. (n.d.). Cleveland Clinic. clevelandclinic.org.
- Healthline. (n.d.). Healthline. healthline.com.
- Journal of Drugs in Dermatology. (n.d.). JDD. jddonline.com.
- National Institutes of Health. (n.d.). NIH. nih.gov.
- RealSelf. (n.d.). RealSelf. realself.com.
- All About Vision. (n.d.). All About Vision. allaboutvision.com.
- Medica Depot. (n.d.). Medica Depot. medicadepot.com.
- Weiler Plastic Surgery. (n.d.). Weiler Plastic Surgery. weilerplasticsurgery.com.