ฉีดเมโสหน้าใสคืออะไร ช่วยลดฝ้า กระ ผิวกระจ่างใสจริงหรือไม่?
การฉีดเมโสหน้าใสคืออะไรและช่วยแก้ปัญหาผิวแบบไหนได้บ้าง?
การฉีดเมโสหน้าใสคือหัตถการความงามที่เป็นการฉีดสารบำรุงต่างๆ เช่น วิตามิน กรดไฮยาลูรอนิก และสารบำรุงอื่นๆ เข้าสู่ผิวหนังชั้นกลางโดยตรง เพื่อฟื้นฟูและปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม แทนที่จะเป็นการเติมเต็มปริมาตรเหมือนฟิลเลอร์
เมโสหน้าใสสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย ดังนี้
- ฟื้นฟูผิวที่แห้งกร้านและหมองคล้ำให้กลับมาสดใส
- ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอและกระจ่างใสขึ้น
- ลดเลือนริ้วรอยตื้นๆ (Fine lines)
- เพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นให้แก่ผิว
- ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนและเปล่งปลั่ง มี “ออร่า”
เมโสหน้าใส (Mesotherapy) แตกต่างจากการฉีดหน้าใสแบบอื่นอย่างไร?
เมโสหน้าใสแตกต่างจากการฉีดหน้าใสแบบอื่นที่ส่วนประกอบและเป้าหมายหลักในการทำงาน โดยเมโสหน้าใสจะเน้นการใช้สารอาหารหลากหลายชนิดเพื่อฟื้นฟูคุณภาพผิวโดยรวม ในขณะที่การฉีดแบบอื่น เช่น สกินบูสเตอร์ (Skin Boosters) จะเน้นการให้ความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ และฟิลเลอร์ (Fillers) จะเน้นการเติมเต็มปริมาตรเพื่อปรับโครงสร้างใบหน้า
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างที่สำคัญ:
คุณสมบัติ | เมโสหน้าใส (Mesotherapy) | สกินบูสเตอร์ (Skin Boosters) | ฟิลเลอร์ (Fillers) |
---|---|---|---|
เป้าหมายหลัก | ฟื้นฟูคุณภาพผิวโดยรวม (ผิวเรียบเนียน, กระจ่างใส, กระตุ้นคอลลาเจน) | เติมความชุ่มชื้นอย่างล้ำลึกและสร้างความฉ่ำวาว (Glow) | เติมเต็มปริมาตรและปรับโครงสร้างใบหน้า (เช่น ร่องลึก, แก้ม, คาง) |
ส่วนประกอบ | กรดไฮยาลูรอนิก (HA) แบบไม่เชื่อมขวาง ผสมกับวิตามิน, แร่ธาตุ, และเปปไทด์ | กรดไฮยาลูรอนิก (HA) แบบเชื่อมขวางเล็กน้อยเป็นหลัก | กรดไฮยาลูรอนิก (HA) แบบเชื่อมขวางหนาแน่น |
ผลลัพธ์ | ผิวแข็งแรงขึ้น ชุ่มชื้น กระจ่างใส ริ้วรอยตื้นๆ ดูจางลง ไม่เปลี่ยนรูปหน้า | ผิวอิ่มฟู ชุ่มชื้น ฉ่ำวาว เห็นผลเรื่องความชุ่มชื้นชัดเจน | เติมเต็มร่องลึก ยกกระชับผิว และเปลี่ยนรูปทรงใบหน้าได้อย่างชัดเจน |
ส่วนประกอบหลักในตัวยาเมโสหน้าใสมีอะไรบ้าง?
ส่วนประกอบหลักในตัวยาเมโสหน้าใสโดยทั่วไปคือ กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) ร่วมกับสารอาหารผิวอื่นๆ เช่น วิตามิน แร่ธาตุ กรดอะมิโน และสารต้านอนุมูลอิสระ
ส่วนประกอบเหล่านี้จะทำงานร่วมกันเพื่อฟื้นฟูคุณภาพผิว โดยแต่ละชนิดมีหน้าที่แตกต่างกันไป ดังนี้
- กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid หรือ HA): ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างล้ำลึก
- วิตามิน: เช่น วิตามิน A, C, E และกลุ่มวิตามิน B ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และสนับสนุนการทำงานของเซลล์ผิว
- แร่ธาตุ: เช่น สังกะสี (Zinc) และซีลีเนียม (Selenium) ที่จำเป็นต่อกระบวนการซ่อมแซมผิว
- กรดอะมิโน (Amino Acids): เป็นหน่วยโครงสร้างสำหรับสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่
- สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants): ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ
- ส่วนประกอบอื่นๆ: บางสูตรอาจมีเปปไทด์ (Peptides) หรือโกรทแฟคเตอร์ (Growth Factors) เพื่อส่งสัญญาณให้เซลล์สร้างคอลลาเจนมากขึ้น
ขั้นตอนการฉีดเมโสหน้าใสเป็นอย่างไร และต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
ขั้นตอนการฉีดเมโสหน้าใสคือการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดสารบำรุงเข้าสู่ผิวหนังชั้นกลางโดยตรง และโดยทั่วไปแนะนำให้ทำต่อเนื่อง 4-6 ครั้งเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยแต่ละครั้งควรเว้นระยะห่างกันประมาณ 2-4 สัปดาห์
ขั้นตอนการทำเมโสหน้าใสโดยทั่วไปมีดังนี้
- ทำความสะอาดผิวและทายาชาทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที
- แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กมากฉีดตัวยาเป็นจุดเล็กๆ กระจายทั่วใบหน้า
- อาจมีการนวดเบาๆ เพื่อให้ตัวยากระจายตัวได้ดี และทาครีมปลอบประโลมผิว
- ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที
โดยปกติจะเริ่มเห็นว่าผิวดูสดใสและชุ่มชื้นขึ้นหลังทำครั้งแรกประมาณ 2-3 สัปดาห์ และเมื่อทำครบคอร์สแล้ว ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ซึ่งแพทย์อาจแนะนำให้กลับมาทำซ้ำเพื่อคงสภาพผิวที่ดีไว้
การฉีดเมโสหน้าใสแบบ 16 จุดทั่วใบหน้าคืออะไร?
การฉีดเมโสหน้าใสแบบ 16 จุด คือ เทคนิคการฉีดสารละลายเมโสเทอราพีลงบนจุดเฉพาะ 16 จุดทั่วใบหน้า โดยจุดที่ฉีดจะกระจายตัวอย่างสมมาตร (ข้างละ 8 จุด) ซึ่งมักจะตรงกับตำแหน่งของระบบน้ำเหลือง เพื่อให้สารอาหารกระจายตัวได้อย่างสม่ำเสมอ กระตุ้นผิวได้อย่างทั่วถึง และช่วยส่งเสริมการไหลเวียนเพื่อขับของเสียออกจากผิว
ระหว่างการฉีดแบบสะกิดกับการฉีดเข้าชั้นผิวโดยตรง แบบไหนดีกว่ากัน?
ไม่มีเทคนิคใดดีกว่ากันอย่างชัดเจน ทางเลือกขึ้นอยู่กับเป้าหมายการรักษาและปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข
- การฉีดแบบสะกิด (Nappage): เหมาะสำหรับการฟื้นฟูผิวโดยรวม เพิ่มความกระจ่างใสและความชุ่มชื้นทั่วใบหน้า เทคนิคนี้ทำได้รวดเร็ว ครอบคลุมพื้นที่กว้าง และเจ็บน้อยกว่า
- การฉีดเข้าชั้นผิวโดยตรง (Point-by-Point): เหมาะสำหรับการรักษาเฉพาะจุด เช่น ริ้วรอยร่องลึก หรือบริเวณที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นการฉีดตัวยาปริมาณมากขึ้นในบริเวณนั้นๆ
ในทางปฏิบัติ แพทย์มักใช้ทั้งสองเทคนิคร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เช่น การฉีดแบบสะกิดทั่วใบหน้าและเน้นฉีดตรงบริเวณที่มีริ้วรอยลึก
ฉีดเมโสหน้าใสเจ็บไหม? และต้องเตรียมตัวก่อนทำอย่างไร?
การฉีดเมโสหน้าใสไม่เจ็บมากนัก โดยทั่วไปจะรู้สึกเหมือนถูกเข็มขนาดเล็กจิ้มเบาๆ หรือรู้สึกแสบเล็กน้อย เนื่องจากมีการทายาชาเฉพาะที่ก่อนทำหัตถการเพื่อลดความรู้สึกไม่สบายตัว ทำให้เป็นขั้นตอนที่คนส่วนใหญ่ทนได้
สำหรับการเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการ มีคำแนะนำดังนี้:
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน ในวันก่อนและวันทำหัตถการ
- มาด้วยใบหน้าที่สะอาด ปราศจากเครื่องสำอาง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและพร้อมรับสารอาหาร
- แจ้งประวัติการแพ้ ให้แพทย์ทราบล่วงหน้า เพื่อความปลอดภัย
การฉีดเมโสหน้าใสอันตรายไหม?
โดยทั่วไปแล้ว การฉีดเมโสหน้าใสมีความปลอดภัยสูง หากทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน เนื่องจากเป็นการฉีดสารบำรุงในปริมาณน้อยเข้าสู่ผิวหนังชั้นกลางโดยตรง จึงมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงทั่วร่างกายต่ำ
ผลข้างเคียงที่พบได้ส่วนใหญ่มักไม่รุนแรงและจะหายไปเองภายใน 2-3 วัน ได้แก่
- รอยแดง หรืออาการบวมเล็กน้อย
- รอยช้ำตามรอยเข็ม
- ตุ่มนูนเล็กๆ บริเวณที่ฉีด ซึ่งจะยุบไปเอง
- อาการคันหรือแสบเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงที่พบได้น้อยมาก เช่น การติดเชื้อ (หากอุปกรณ์ไม่สะอาด) หรืออาการแพ้ส่วนผสมในตัวยา ดังนั้นการเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือและแจ้งประวัติการแพ้ให้แพทย์ทราบก่อนทำจึงเป็นสิ่งสำคัญ
อาการแพ้เมโสหน้าใสที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง?
อาการแพ้เมโสหน้าใสที่พบได้ (แม้จะเกิดขึ้นได้น้อย) คือ อาการคันอย่างรุนแรง มีผื่นแดงกระจาย และอาการบวมในบริเวณที่ไม่ได้ฉีด
อาการเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณของการแพ้ที่แท้จริง ซึ่งแตกต่างจากผลข้างเคียงทั่วไป เช่น รอยแดงหรือตุ่มนูนเฉพาะจุดฉีด และควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันทีหากเกิดขึ้น โดยความเสี่ยงในการแพ้จะสูงขึ้นเล็กน้อยในเมโสสูตรที่มีส่วนผสมหลายชนิด เมื่อเทียบกับสูตรที่มีเพียงกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) เป็นหลัก
ทำไมบางคนฉีดเมโสหน้าใสแล้วสิวขึ้น?
สาเหตุที่บางคนมีสิวขึ้นหลังฉีดเมโสหน้าใสอาจเป็นผลมาจาก กระบวนการผลัดเซลล์ผิว (skin purging) ที่ถูกเร่งให้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติของผิว
สารอาหารและวิตามินในเมโสเทอราพีจะกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ทำให้สิวอุดตันที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวหนังถูกดันขึ้นมาบนผิวชั้นบนจนเกิดเป็นสิวเม็ดเล็กๆ หรือสิวหัวขาวได้ นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นที่เป็นไปได้ คือ การอักเสบของรูขุมขนจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หากขั้นตอนการฉีดไม่สะอาดเพียงพอ หรือดูแลผิวหลังทำไม่ถูกวิธี
โดยทั่วไปแล้ว สิวที่เกิดจากกระบวนการนี้มักจะเป็นเพียงชั่วคราวและจะค่อยๆ หายไปเองภายใน 4-6 สัปดาห์ เมื่อผิวปรับสภาพได้
รอยเข็มหลังฉีดเมโสหน้าใสจะหายไปภายในกี่วัน?
โดยทั่วไป รอยเข็มและรอยนูนเล็กๆ จะหายไปเองภายใน 24–48 ชั่วโมง ส่วนรอยแดงเล็กน้อยมักจะจางลงภายในไม่กี่ชั่วโมงถึง 2 วัน ในกรณีที่เกิดรอยช้ำ อาจใช้เวลาประมาณ 3–5 วันในการหายสำหรับรอยเล็กๆ หรือนานถึง 1–2 สัปดาห์สำหรับรอยช้ำที่ใหญ่ขึ้น
หลังฉีดเมโสหน้าใสควรดูแลตัวเองอย่างไร?
หลังฉีดเมโสหน้าใส ควรดูแลผิวโดยการรักษาความสะอาด หลีกเลี่ยงความร้อน แสงแดด และงดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่รุนแรง เพื่อให้ผิวฟื้นตัวได้ดีและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง
ข้อควรปฏิบัติที่สำคัญในช่วงแรก ได้แก่:
- งดล้างหน้าและแต่งหน้า: ควรหลีกเลี่ยงการล้างหน้าและแต่งหน้าเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการติดเชื้อบริเวณรอยเข็ม
- หลีกเลี่ยงความร้อนและแสงแดด: งดกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อน เช่น ซาวน่า สตรีม ออกกำลังกายอย่างหนัก และหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรงเป็นเวลาอย่างน้อย 2-3 วัน
- งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรง: หลีกเลี่ยงการใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ (AHA) เรตินอล หรือสครับขัดผิวเป็นเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า: ไม่ควรนวด กด หรือเกาบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันการระคายเคือง
- งดดื่มแอลกอฮอล์: ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาบางชนิด เช่น แอสไพริน ในช่วง 1-2 วันแรก เพื่อลดความเสี่ยงของอาการบวมหรือรอยช้ำ
ข้อห้ามสำคัญหลังฉีดเมโสหน้าใส: อาหารและกิจกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง
หลังฉีดเมโสหน้าใส ควรหลีกเลี่ยงความร้อน แสงแดด การออกกำลังกายหนัก การดื่มแอลกอฮอล์ และการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เพื่อให้ผิวฟื้นตัวได้ดีที่สุดและป้องกันผลข้างเคียง
ข้อห้ามสำคัญในช่วง 1-7 วันแรกหลังการรักษา ได้แก่
- กิจกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง:
- ความร้อนและแสงแดด: งดเข้าซาวน่า สตรีม อาบน้ำร้อน และหลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรงอย่างน้อย 48 ชั่วโมงถึง 1 สัปดาห์ เพื่อลดอาการบวมและป้องกันการอักเสบ
- การออกกำลังกายหนัก: ควรงดออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงมากเป็นเวลา 1-2 วัน เพื่อไม่ให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงของอาการบวมหรือรอยช้ำ
- การสัมผัสใบหน้า: ห้ามล้างหน้าประมาณ 24 ชั่วโมงแรก และงดแต่งหน้าเป็นเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่รอยเข็ม นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการถูหรือสครับผิวแรงๆ เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์
- อาหารและสารที่ควรหลีกเลี่ยง:
- แอลกอฮอล์และบุหรี่: ควรงดดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่เป็นเวลา 2-3 วัน เนื่องจากอาจส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดและทำให้แผลหายช้าลง
- ยาบางชนิด: หลีกเลี่ยงยาต้านการอักเสบ (เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน) เป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออก หากจำเป็นให้ใช้ยาพาราเซตามอลแทน
- อาหารรสจัด: ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและเค็มจัดประมาณ 1-2 วัน เพื่อลดอาการบวมแดงบนใบหน้า
- ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่รุนแรง: งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอลหรือกรดผลไม้ (AHA) ประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อให้ผิวได้ฟื้นตัวเต็มที่
สามารถล้างหน้าหรือแต่งหน้าได้ทันทีหรือไม่?
ไม่ควรล้างหน้าหรือแต่งหน้าทันทีหลังทำเมโสหน้าใส โดยทั่วไปแนะนำให้หลีกเลี่ยงการล้างหน้าและแต่งหน้าเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการระคายเคืองบริเวณรอยเข็ม และควรปล่อยให้ผิวได้พักผ่อน
ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดและความร้อนนานแค่ไหน?
โดยทั่วไปแล้ว ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรงและความร้อนเป็นเวลา 5-7 วันหลังทำเมโสหน้าใส
คำแนะนำนี้รวมถึงการหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อน เช่น การเข้าซาวน่า ห้องอบไอน้ำ การอาบน้ำร้อน และการออกกำลังกายอย่างหนัก เพื่อลดความเสี่ยงของอาการบวมและการอักเสบ หลังจากพ้นช่วงเวลานี้ไปแล้ว ควรทาครีมกันแดดเป็นประจำเพื่อป้องกันผิวและรักษาผลลัพธ์ของการรักษา
ผลลัพธ์จากการฉีดเมโสหน้าใสอยู่ได้นานแค่ไหน?
โดยเฉลี่ยแล้ว ผลลัพธ์จากการฉีดเมโสหน้าใสอย่างต่อเนื่องจะอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน หลังจากที่เข้ารับการรักษาครบคอร์สแล้ว (โดยทั่วไปคือ 4-6 ครั้ง)
ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงถาวร เนื่องจากสารอาหารต่างๆ เช่น กรดไฮยาลูรอนิกและวิตามินที่ฉีดเข้าไปจะค่อยๆ ถูกร่างกายเผาผลาญไปตามธรรมชาติ ดังนั้น แพทย์จึงมักแนะนำให้กลับมาฉีดซ้ำเพื่อคงสภาพผิวทุกๆ 6-12 เดือน ทั้งนี้ ระยะเวลาของผลลัพธ์ยังขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิต การดูแลผิว และการป้องกันแสงแดดของแต่ละบุคคลด้วย
การฉีดเมโสหน้าใสราคาเท่าไหร่ และมีปัจจัยอะไรที่ส่งผลต่อราคา?
ราคาการฉีดเมโสหน้าใสต่อครั้งโดยทั่วไปจะอยู่ที่หลายร้อยดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 300-700 ดอลลาร์) โดยราคาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคา ได้แก่:
- ส่วนผสมของตัวยา (Mesotherapy Cocktail): สูตรที่มีส่วนผสมหลากหลายหรือมีความเข้มข้นสูง เช่น NCTF ที่มีส่วนผสมกว่า 50 ชนิด มักมีราคาสูงกว่าสูตรพื้นฐาน
- ชื่อเสียงและที่ตั้งของคลินิก: คลินิกที่มีชื่อเสียงหรือตั้งอยู่ในเมืองใหญ่มักมีราคาสูงกว่า
- บริเวณที่ทำการรักษา: ราคาจะเพิ่มขึ้นหากทำในบริเวณอื่นร่วมด้วย เช่น ใบหน้าพร้อมลำคอและเนินอก
- จำนวนครั้งที่ทำและแพ็กเกจ: การซื้อเป็นคอร์สหรือแพ็กเกจหลายครั้งมักจะได้ราคาต่อครั้งที่ถูกลง
- การทำร่วมกับหัตถการอื่น: หากทำเมโสเทอราพีร่วมกับหัตถการอื่น เช่น การทำ Microneedling ก็อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
การฉีดเมโสหน้าใส: ดีจริงไหม และเหมาะกับใคร?
เมโสหน้าใสเป็นวิธีฟื้นฟูคุณภาพผิวโดยรวมที่มีประสิทธิภาพ สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้น ความกระจ่างใส และลดเลือนริ้วรอยตื้นๆ โดยให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและใช้เวลาพักฟื้นน้อย
เมโสหน้าใสมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนี้
- ข้อดี:
- ช่วยปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวมให้ดูสุขภาพดีขึ้น เช่น เพิ่มความชุ่มชื้น ความเรียบเนียน และความกระจ่างใส
- ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ทำให้รูปหน้าเปลี่ยนแปลงไป
- เป็นหัตถการที่เจ็บน้อยและใช้เวลาพักฟื้นสั้นมาก
- ข้อเสีย:
- ผลลัพธ์ที่ได้จะค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
- ต้องทำต่อเนื่อง 4–6 ครั้ง และต้องกลับมาทำซ้ำทุก 6–12 เดือนเพื่อคงผลลัพธ์
- ไม่สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยลึกหรือความหย่อนคล้อยที่รุนแรงได้
เมโสหน้าใสเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวต่อไปนี้:
- ผิวแห้งขาดน้ำ ขาดความสดใส หรือดูอ่อนล้า
- สีผิวไม่สม่ำเสมอ
- ริ้วรอยตื้นๆ หรือผิวที่ไม่เรียบเนียน
- ผู้ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวมให้ดูเปล่งปลั่งและสุขภาพดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
สรุป 5 ข้อดีและข้อเสียของการฉีดเมโสหน้าใส
การฉีดเมโสหน้าใสมีข้อดีในด้านการฟื้นฟูคุณภาพผิวโดยรวมให้ดูเป็นธรรมชาติ แต่ก็มีข้อเสียคือผลลัพธ์ที่ค่อยเป็นค่อยไปและต้องทำต่อเนื่องหลายครั้ง
ข้อดีและข้อเสียของการฉีดเมโสหน้าใสมีดังนี้
ข้อดี (Pros)
- ฟื้นฟูคุณภาพผิว: ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้น ลดขนาดรูขุมขน และทำให้ผิวโดยรวมดูกระจ่างใสหรือที่เรียกว่า “meso-glow”
- ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ: ช่วยปรับปรุงสภาพผิวให้ดีขึ้นโดยไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างใบหน้า ทำให้ดูไม่เหมือนการทำศัลยกรรม
- เจ็บตัวน้อยและพักฟื้นไม่นาน: เป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงต่ำและใช้เวลาพักฟื้นสั้น ผู้รับบริการส่วนใหญ่สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เกือบจะในทันที
- ปรับสูตรได้หลากหลาย: สามารถปรับแต่งส่วนผสมของตัวยาให้เหมาะกับปัญหาผิวของแต่ละบุคคลได้ เช่น ปัญหาผิวแห้งหรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ
- มีความปลอดภัยสูง: เมื่อทำโดยผู้เชี่ยวชาญและใช้เทคนิคที่ปลอดเชื้อ ความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงรุนแรงนั้นต่ำมาก
ข้อเสีย (Cons)
- ผลลัพธ์ไม่ชัดเจนในทันที: ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏและไม่สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยลึกหรือความหย่อนคล้อยที่รุนแรงได้
- ต้องทำต่อเนื่องหลายครั้ง: เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจำเป็นต้องทำต่อเนื่อง 4-6 ครั้ง และต้องมีการทำซ้ำเพื่อคงสภาพผิว
- มีค่าใช้จ่ายสะสม: เนื่องจากต้องทำหลายครั้ง ค่าใช้จ่ายโดยรวมจึงอาจสูงได้
- อาจเกิดผลข้างเคียงชั่วคราว: หลังทำอาจมีรอยแดง อาการบวม หรือรอยช้ำเล็กน้อยตามรอยเข็ม ซึ่งจะหายไปเองในเวลาไม่กี่วัน
- อาจรู้สึกไม่สบายผิว: ขั้นตอนการทำเกี่ยวข้องกับการใช้เข็มฉีดยาจำนวนมาก ซึ่งอาจทำให้รู้สึกเจ็บหรือไม่สบายผิวได้ แม้จะมีการใช้ยาชาก็ตาม
ใครบ้างที่ไม่ควรฉีดเมโสหน้าใส?
ผู้ที่ไม่ควรฉีดเมโสหน้าใส ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้ที่มีการติดเชื้อบนผิวหนังบริเวณที่จะฉีด และผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด
กลุ่มคนที่ไม่เหมาะกับการทำเมโสหน้าใสโดยละเอียด มีดังนี้
- หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร เนื่องจากยังไม่มีการศึกษาความปลอดภัยของส่วนผสมในตัวยาที่อาจส่งผลต่อทารก
- ผู้ที่มีประวัติแพ้ส่วนประกอบในตัวยา เช่น แพ้กรดไฮยาลูรอนิก วิตามิน หรือยาชา
- ผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง เช่น มีแผลเปิด เป็นเริม สิวอักเสบรุนแรง หรือโรคผิวหนังอื่นๆ ในบริเวณที่จะฉีด
- ผู้ที่เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune diseases) โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง เช่น โรคพุ่มพวง (Lupus)
- ผู้ที่มีปัญหาการแข็งตัวของเลือด หรือกำลังรับประทานยาละลายลิ่มเลือด เพราะเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำได้ง่าย
- ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี เพราะอาจมีความเสี่ยงในการติดเชื้อและแผลหายช้า
- ผู้ที่มีประวัติการเกิดแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ได้ง่าย
- ผู้ที่กำลังรักษามะเร็ง หรือมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
References:
- Shotter, S. (n.d.). What is mesotherapy? And is it worth it?. drsophieshotter.com
- Hong, W. et al. (n.d.). Facial skin quality improvement after treatment with CPM‐HA20G: Clinical experience in Korea. Journal of Cosmetic Dermatology. wiley.com
- Vedamurthy, M. et al. (n.d.). Skin boosters – The upcoming boom in cosmetic dermatology for healthy skin. CosmoDerma. cosmoderma.org
- Yantai City Health Commission. (n.d.). 中胚层疗法了解一下!(“Understand Mesotherapy!”). yantai.gov
- Skinserity Clinic. (n.d.). Derm Booster – 16-point injection technique. skinserityclinic.com
- BFill Clinic. (n.d.). MADE胶原蛋白4cc面部16个点注射 (“MADE collagen 4cc 16-point facial injection”). bfillclinic.com
- Diaminy Aesthetics. (n.d.). The Main Mesotherapy Injection Techniques. diaminyaesthetics.com
- Diaminy Aesthetics. (n.d.). Comparing Techniques Based on Desired Results. diaminyaesthetics.com
- Arda, H. (n.d.). Mesotherapy: What is it? Procedure, Side Effects, and More!. handearda.com
- makeO skinnsi. (n.d.). Mesotherapy Session 101: Ultimate Guide to Pre- and Post-Care. makeo.app
- BellaViso Medical Center. (n.d.). Understanding the Aftermath of Mesotherapy. bellavisomedicalcenter.ae
- Professional Beauty UK. (n.d.). The Purge: Why does skin break out post treatment?. professionalbeauty.co.uk
- Boston Derm Advocate. (n.d.). Does Mesotherapy Really Work to Rejuvenate Your Skin?. bostondermadvocate.com
- Visodent NYC. (n.d.). Understanding Mesotherapy Pricing – Your Guide. visodentnyc.com