Ulthera กับ Thermage: เปรียบเทียบความแตกต่าง ข้อดีข้อเสียและราคา
1. Ulthera กับ Thermage คืออะไรและทำงานต่างกันอย่างไร?
Ulthera และ Thermage คือเทคโนโลยียกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่มีความแตกต่างกันที่ชนิดของพลังงานที่ใช้และผลลัพธ์หลัก โดย Ulthera จะเน้นการ “ยก” โครงสร้างผิวจากชั้นลึก ในขณะที่ Thermage จะเน้นการ “กระชับ” และปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม
ความแตกต่างที่สำคัญมีดังนี้:
ชนิดของพลังงาน:
- Ulthera: ใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวด์แบบเฉพาะเจาะจง (Micro-focused Ultrasound) ยิงเป็นจุดเล็กๆ ที่มีความแม่นยำสูงลงไปใต้ชั้นผิว
- Thermage: ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (Monopolar RF) เพื่อให้ความร้อนแก่เนื้อเยื่อในวงกว้างและครอบคลุมพื้นที่มากกว่า
- เป้าหมายหลัก:
- Ulthera: เน้นการ “ยกกระชับ” โดยส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นพังผืดที่รองรับผิว ทำให้เกิดการยกตัวของใบหน้าและกรอบหน้า
- Thermage: เน้นการ “กระชับผิว” และปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม โดยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ ทำให้ผิวแน่นขึ้น ลดริ้วรอยเล็กๆ และผิวเรียบเนียนขึ้น
หลักการทำงานของ Ulthera: พลังงาน Ultrasound แบบเฉพาะเจาะจง (MFU-V)
Ulthera ใช้เทคโนโลยีคลื่นอัลตราซาวด์แบบเฉพาะเจาะจง (MFU-V) เพื่อส่งพลังงานความร้อนเป็นจุดเล็กๆ ไปยังชั้นผิวที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ โดยมีหลักการทำงานดังนี้
- การส่งพลังงาน: เครื่องจะปล่อยคลื่นอัลตราซาวด์ที่เน้นเป็นจุดโฟกัสขนาดเล็กมาก (น้อยกว่า 1 ลบ.มม.) ไปยังชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นพังผืดที่อยู่ของกล้ามเนื้อใบหน้า (SMAS) ที่ความลึก 1.5–4.5 มม.
- การสร้างความร้อน: พลังงานจะทำให้เกิดความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 60–70 °C ณ จุดที่โฟกัส ซึ่งส่งผลให้เส้นใยคอลลาเจนหดตัวทันที
- การกระตุ้นคอลลาเจน: ความร้อนจะกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมและสร้างคอลลาเจนใหม่ (Neocollagenesis) ของร่างกาย ซึ่งจะดำเนินต่อไปอีกประมาณ 3–6 เดือน ทำให้ผิวค่อยๆ ยกกระชับและเต่งตึงขึ้น
- ความแม่นยำ: เทคโนโลยีนี้มาพร้อมหน้าจอที่แสดงภาพชั้นผิวแบบเรียลไทม์ ทำให้แพทย์สามารถส่งพลังงานไปยังชั้นผิวที่ถูกต้องได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้การรักษามีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูง
หลักการทำงานของ Thermage: พลังงานคลื่นวิทยุ (Monopolar RF)
หลักการทำงานของ Thermage คือการใช้พลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูงแบบขั้วเดียว (Monopolar RF) เพื่อส่งความร้อนแบบเป็นวงกว้าง (Volumetric Heating) ลงสู่ผิวหนังชั้นลึก โดยให้ความร้อนแก่เนื้อเยื่อที่อุณหภูมิประมาณ 55–65 °C
ความร้อนนี้จะทำให้เส้นใยคอลลาเจนเดิมหดตัวทันที ส่งผลให้ผิวตึงกระชับขึ้นในเบื้องต้น จากนั้นจะกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ (Neocollagenesis) อย่างต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนถัดมา ในระหว่างการรักษามีการใช้หัวปล่อยความเย็นเพื่อปกป้องผิวหนังชั้นนอก ทำให้สามารถส่งพลังงานลงไปได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
ความแตกต่างของชั้นผิวที่เครื่องสามารถเข้าถึงได้
Ulthera จะส่งพลังงานแบบเฉพาะเจาะจงไปยังชั้นผิวหนังแท้และชั้น SMAS ในขณะที่ Thermage จะให้ความร้อนแบบกระจายตัวในวงกว้างตั้งแต่ชั้นหนังแท้ไปจนถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง โดย Ulthera ใช้คลื่นอัลตราซาวด์สร้างจุดความร้อนขนาดเล็กที่ระดับความลึกเฉพาะ (1.5, 3.0 และ 4.5 มม.) ทำให้สามารถเข้าถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นพังผืดที่รองรับผิวหน้าได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้เกิดการยกกระชับ
ในทางตรงกันข้าม Thermage ใช้คลื่นวิทยุ (RF) เพื่อให้ความร้อนแก่เนื้อเยื่อในปริมาณมากและกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเหมาะสำหรับการกระชับผิวโดยรวมและปรับปรุงคุณภาพผิวมากกว่าการยกกระชับจากชั้นลึก
2. ใครที่เหมาะกับการทำ Ulthera และใครเหมาะกับ Thermage?
โดยสรุป Ulthera เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเน้นการยกกระชับและปรับกรอบหน้าให้คมชัด ส่วน Thermage เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยโดยรวมและปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน
- ผู้ที่เหมาะกับ Ulthera: คือผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยที่มองเห็นได้ชัดเจน เช่น คิ้วตก แก้มห้อยย้อย กรอบหน้าไม่คม หรือมีเหนียง ซึ่งต้องการผลลัพธ์ด้านการ “ยก” (Lifting) โครงสร้างผิวจากชั้นลึก (SMAS) เป็นหลัก
- ผู้ที่เหมาะกับ Thermage: คือผู้ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวมให้แน่นและเรียบเนียนขึ้น ลดริ้วรอยเล็กๆ และแก้ปัญหาผิวที่ดูเหี่ยวหรือย่น (Crepey skin) โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตา ใบหน้า ลำคอ และลำตัว
ลักษณะปัญหาผิวที่เหมาะกับ Ulthera (ผิวหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด)
Ulthera เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่คมชัด คิ้วตก และเหนียงใต้คาง
เทคโนโลยีนี้ช่วย “ยกกระชับและสร้างกรอบหน้า” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะเน้นการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยบริเวณแนวกราม ใต้คาง ลำคอ และยกคิ้วที่ตก จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับโครงสร้างผิวจากภายในเพื่อให้ใบหน้าดูคมชัดขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีความหย่อนคล้อยในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
ลักษณะปัญหาผิวที่เหมาะกับ Thermage (ผิวขาดคอลลาเจน มีริ้วรอย)
Thermage เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยโดยรวม มีริ้วรอยเล็กๆ หรือผิวเหี่ยวย่น (crepey skin) และต้องการให้ผิวเรียบเนียนและกระชับขึ้น เทคโนโลยีนี้เน้นการปรับปรุงคุณภาพผิวชั้นบนเป็นหลัก จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยและเพิ่มความแน่นกระชับของผิวมากกว่าการยกกระชับใบหน้าอย่างชัดเจน
Thermage ได้รับการรับรองจาก FDA สำหรับการกระชับผิวบริเวณเปลือกตาและลดริ้วรอยรอบดวงตา (ตีนกา) โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ได้ดีกับบริเวณแก้ม ลำคอ และส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น หน้าท้อง ต้นแขน และต้นขา ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้อีกด้วย
3. การทำ Ulthera กับ Thermage เจ็บไหมและมีข้อเสียอะไรบ้าง?
โดยทั่วไปแล้ว Ulthera จะให้ความรู้สึกเจ็บกว่า Thermage แต่ความเจ็บปวดของทั้งสองหัตถการจะเกิดขึ้นเฉพาะระหว่างทำและสามารถจัดการได้ ส่วนข้อเสียหรือผลข้างเคียงส่วนใหญ่มักไม่รุนแรงและหายได้เอง
ความเจ็บ
- Ulthera: ให้ความรู้สึกเหมือนมีหนามเล็กๆ ทิ่มลงไปลึกๆ หรือปวดจี๊ดเป็นพักๆ เมื่อพลังงานถูกส่งลงใต้ผิวหนัง ซึ่งถือว่าเจ็บในระดับปานกลาง แต่สามารถจัดการได้ด้วยยาชาเฉพาะที่หรือยาแก้ปวด
- Thermage: ให้ความรู้สึกอุ่นๆ ทั่วบริเวณที่ทำ และเจ็บน้อยกว่ามาก โดยเฉพาะเครื่องรุ่นใหม่ (Thermage FLX) ที่มีระบบสั่นและให้ความเย็นเพื่อเพิ่มความสบายผิว
- ข้อเสียและผลข้างเคียง:
- Ulthera: หลังทำอาจมีอาการกดเจ็บ ชา หรือรู้สึกยิบๆ บริเวณที่ทำ ซึ่งจะหายไปเองในไม่กี่วันถึงสองสัปดาห์ และอาจเกิดรอยช้ำเล็กน้อยได้
- Thermage: อาจมีอาการบวมหรือแดงเล็กน้อยซึ่งจะหายไปในไม่กี่ชั่วโมง และบางรายอาจรู้สึกผิวแห้งคล้ายโดนแดดเผาประมาณ 1-2 วัน
- ความเสี่ยงที่พบได้ยาก (ทั้งสองเครื่อง): หากทำด้วยเทคนิคที่ไม่ถูกต้องหรือใช้พลังงานสูงเกินไป อาจเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงขึ้น เช่น ผิวไหม้ แผลพุพอง หรือไขมันบนใบหน้าฝ่อตัวทำให้ผิวบุ๋มได้ จึงจำเป็นต้องทำกับผู้เชี่ยวชาญที่ใช้เครื่องมือของแท้เท่านั้น
ระดับความเจ็บ: เปรียบเทียบความรู้สึกขณะทำ Ulthera กับ Thermage
โดยทั่วไปแล้ว Thermage ให้ความรู้สึกที่สบายกว่าและเจ็บน้อยกว่า Ulthera
ความรู้สึกขณะทำ Thermage จะเป็นความร้อนอุ่นๆ ทั่วบริเวณที่ทำ และเครื่องรุ่นใหม่ (FLX) ยังมีระบบสั่นและให้ความเย็นเพื่อช่วยเพิ่มความสบายและลดความเจ็บปวด ในทางกลับกัน Ulthera มักทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บแปลบๆ หรือปวดลึกๆ เป็นพักๆ ขณะที่พลังงานถูกส่งลงไปที่ชั้นผิว ซึ่งผู้ให้บริการมักจะใช้ยาชาเฉพาะที่หรือยาแก้ปวดเพื่อช่วยบรรเทาอาการ อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกไม่สบายตัวจากทั้งสองหัตถการจะหายไปทันทีเมื่อการรักษาสิ้นสุดลง
ข้อเสียและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจาก Ulthera
ข้อเสียหลักของ Ulthera คือความรู้สึกเจ็บระหว่างการรักษา และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังทำ ซึ่งโดยทั่วไปมักไม่รุนแรงและหายได้เอง
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ได้แก่:
- ความรู้สึกระหว่างทำ: ผู้รับการรักษาส่วนใหญ่จะรู้สึกเจ็บแปลบๆ หรือปวดลึกๆ เป็นพักๆ ขณะปล่อยพลังงานอัลตราซาวด์
- ผลข้างเคียงทั่วไป: หลังทำอาจมีอาการบวมแดงเล็กน้อย รู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัส มีอาการชา หรือเกิดรอยช้ำเล็กๆ ได้ ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปเองในเวลาไม่กี่วันถึงสองสัปดาห์
- ผลข้างเคียงที่พบได้ยาก: ในกรณีที่พบได้น้อยมาก อาจเกิดภาวะไขมันฝ่อ (ผิวบุ๋ม) อาการชาถาวร หรือรอยดำคล้ำเฉพาะจุด ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานที่ไม่เหมาะสมหรือเทคนิคที่ไม่ถูกต้องของผู้ทำ
ข้อเสียและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจาก Thermage
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดของ Thermage คืออาการบวมแดงเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมง และอาจรู้สึกอุ่นๆ ขณะทำ
แม้ว่า Thermage จะถือว่ามีความปลอดภัยสูงและเจ็บน้อย แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงอื่นๆ ได้ ดังนี้
- ผลข้างเคียงทั่วไป: หลังทำผิวอาจรู้สึกแห้งหรือเหมือนโดนแดดเผาเล็กน้อยเป็นเวลา 1-2 วัน
- ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ยาก: หากใช้เทคนิคที่ไม่ถูกต้องหรืออุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจเกิดแผลพุพอง, แผลไหม้, หรือการสูญเสียไขมันใต้ผิวหนัง (Fat Atrophy) ทำให้เกิดรอยบุ๋มได้
- ข้อห้าม: ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์, มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง, หรือผู้ที่ติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ
4. ผลลัพธ์ของ Ulthera กับ Thermage ต่างกันอย่างไรและอยู่ได้นานแค่ไหน?
Ulthera ให้ผลลัพธ์ด้านการยกกระชับ (Lifting) ที่ชัดเจน ในขณะที่ Thermage เน้นการปรับผิวให้แน่นและเรียบเนียน (Tightening) โดยผลลัพธ์ของทั้งสองหัตถการอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี
ความแตกต่างของผลลัพธ์มีดังนี้
- Ulthera: เน้นการยกกระชับโครงสร้างผิวชั้นลึก (SMAS) จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ต้องการยกกรอบหน้าให้คมชัด ยกคิ้ว และลดเหนียง
- Thermage: เน้นการเพิ่มความแน่นกระชับและปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม (Skin Quality) จึงเหมาะสำหรับลดริ้วรอยเล็กๆ กระชับรูขุมขน และทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น โดยสามารถทำบริเวณเปลือกตาได้ดี
ผลลัพธ์ของทั้งสองเทคโนโลยีจะค่อยๆ เห็นผลเต็มที่ในเวลา 3-6 เดือน และคงอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิว อายุ และการดูแลรักษาของแต่ละบุคคล โดยแนะนำให้กลับมาทำซ้ำทุก 1-2 ปีเพื่อคงสภาพผลลัพธ์ที่ดีที่สุดไว้
การเปรียบเทียบผลลัพธ์ด้านการยกกระชับ (Lifting)
โดยทั่วไป Ulthera ให้ผลลัพธ์ด้านการยกกระชับที่ชัดเจนและลึกกว่า ในขณะที่ Thermage เน้นการกระชับผิวโดยรวมและให้การยกกระชับในระดับที่น้อยกว่า
- Ulthera: ใช้พลังงานอัลตราซาวนด์แบบเฉพาะจุด (MFU-V) ลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นพังผืดที่รองรับผิวหน้า ทำให้เกิดการยกกระชับโครงสร้างใบหน้าได้อย่างมีนัยสำคัญ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาคิ้วตก, แก้มหย่อนคล้อย, กรอบหน้าไม่ชัด หรือเหนียง
- Thermage: ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (RF) เพื่อให้ความร้อนในปริมาณมากและครอบคลุมพื้นที่กว้างในชั้นผิวหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ส่งผลให้ผิวโดยรวมแน่นและตึงขึ้น สามารถช่วยยกกระชับได้ในระดับหนึ่ง แต่จะเด่นในเรื่องการปรับปรุงคุณภาพผิวให้เรียบเนียนและกระชับขึ้นมากกว่าการยกแบบเห็นโครงสร้างชัดเจน
แม้ว่าผลการศึกษาจะชี้ว่าทั้งสองเทคโนโลยีสามารถยกกระชับผิวได้ในระดับ 1-3 มิลลิเมตร แต่โดยสรุปแล้ว Ulthera มักถูกเลือกเมื่อเป้าหมายหลักคือ “การยก” (Lift) ในขณะที่ Thermage จะถูกเลือกเมื่อต้องการ “ความกระชับ” (Tightening) และผิวที่เรียบเนียนขึ้น
การเปรียบเทียบผลลัพธ์ด้านการฟื้นฟูคุณภาพผิว (Skin Rejuvenation)
Thermage ให้ผลลัพธ์โดยตรงในการปรับปรุงคุณภาพผิว ลดเลือนริ้วรอย และทำให้ผิวเรียบเนียนได้ดีกว่า ในขณะที่ Ulthera ช่วยลดริ้วรอยเป็นผลพลอยได้จากการยกกระชับโครงสร้างผิวชั้นลึก
Thermage ถูกออกแบบมาเพื่อจัดการกับริ้วรอยเล็กๆ (fine lines) และปรับสภาพผิวโดยรวมให้เรียบเนียนและกระชับขึ้น จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาผิวที่ไม่เรียบเนียน รูขุมขนกว้าง หรือผิวเหี่ยวย่น (crepey skin) บริเวณรอบดวงตาและลำคอ จากข้อมูลทางคลินิกพบว่า Thermage สามารถลดริ้วรอยบนใบหน้าได้เฉลี่ยถึง 41%
ในทางกลับกัน Ulthera เน้นการยกกระชับผิวจากชั้นลึกเป็นหลัก การลดเลือนริ้วรอยจึงเป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการที่ผิวถูกดึงให้ตึงขึ้น เช่น ทำให้ร่องแก้มตื้นขึ้น หรือริ้วรอยบนหน้าผากดีขึ้นจากการยกคิ้ว อย่างไรก็ตาม Ulthera ได้รับการรับรองจาก FDA สำหรับการลดเลือนริ้วรอยบริเวณเนินอกโดยเฉพาะ
ระยะเวลาคงอยู่ของผลลัพธ์: Ulthera กับ Thermage แบบไหนอยู่นานกว่ากัน?
โดยทั่วไป ผลลัพธ์ของทั้ง Ulthera และ Thermage คงอยู่ได้นานใกล้เคียงกัน คือประมาณ 1 ถึง 2 ปี
ข้อมูลจากงานวิจัยระบุว่าผลลัพธ์ของทั้งสองเทคโนโลยีมีความทนทานในระยะยาวแต่ไม่ถาวร โดยมีรายละเอียดดังนี้:
- Ulthera: ผลการยกกระชับสามารถคงอยู่ได้ประมาณ 12–18 เดือน
- Thermage: ผลลัพธ์มักจะอยู่ได้ประมาณ 1–2 ปีเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลบางส่วนที่แตกต่างกันเล็กน้อย เช่น รายงานจากประเทศจีนระบุว่าผลของ Thermage FLX อาจอยู่ได้นานถึง 18–24 เดือน เทียบกับ Ulthera ที่ 12–18 เดือน ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางกลุ่มพบว่า Ulthera อาจต้องการการทำซ้ำน้อยกว่า (ทุก 18–24 เดือน) เทียบกับ Thermage (ทุก 12 เดือน) ทั้งนี้ ระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคล เช่น อายุ คุณภาพผิว และความรุนแรงของความหย่อนคล้อย
5. เปรียบเทียบการทำ Ulthera กับ Thermage ในบริเวณต่างๆ
การยกกระชับกรอบหน้าและเหนียง
Ulthera ให้ผลลัพธ์การยกกระชับกรอบหน้าและเหนียงได้ชัดเจนกว่า เนื่องจากสามารถส่งพลังงานลงไปถึงชั้นพังผืดกล้ามเนื้อ (SMAS) ซึ่งเป็นโครงสร้างพยุงผิวที่อยู่ลึกที่สุด ทำให้เกิดการยกกระชับโครงสร้างใบหน้าจากภายใน
- Ulthera เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาคางสองชั้นและกรอบหน้าที่หย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัด เพราะสามารถยกกระชับเนื้อเยื่อที่หย่อนและช่วยให้กรอบหน้าคมชัดขึ้น
- Thermage จะช่วยกระชับผิวหนังในบริเวณดังกล่าว ทำให้ผิวแน่นและเรียบเนียนขึ้น ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยเล็กน้อย หรือต้องการปรับปรุงคุณภาพผิวบริเวณกรอบหน้าและลำคอให้ตึงขึ้น
การลดริ้วรอยรอบดวงตาและยกคิ้ว
Thermage เหมาะสำหรับการลดริ้วรอยและกระชับผิวบริเวณเปลือกตาโดยตรง ในขณะที่ Ulthera ใช้สำหรับยกคิ้ว Thermage สามารถลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ เช่น รอยตีนกา และกระชับผิวที่หย่อนคล้อยบนเปลือกตาได้ดี ส่วน Ulthera จะเน้นการยกกระชับผิวบริเวณใต้คิ้วและหางคิ้วเพื่อยกคิ้วที่ตกให้สูงขึ้น ซึ่งช่วยให้ดวงตาดูเปิดกว้างและสดใสขึ้น
การรักษาทั้งสองอย่างร่วมกันจึงเป็นวิธีที่นิยมเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการฟื้นฟูผิวรอบดวงตาโดยรวม
การฟื้นฟูผิวบริเวณลำคอและเนินอก
ทั้ง Ulthera และ Thermage สามารถใช้ฟื้นฟูผิวบริเวณลำคอและเนินอกได้ แต่จะเน้นแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน โดย Ulthera จะเน้นการยกกระชับโครงสร้างผิวที่หย่อนคล้อย ในขณะที่ Thermage จะเน้นการปรับปรุงคุณภาพผิวและลดเลือนริ้วรอยตื้นๆ
- Ulthera: เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณลำคอ มีเหนียง หรือมีริ้วรอยแนวตั้งที่คอ เนื่องจากพลังงานสามารถลงไปถึงชั้นพยุงผิว (SMAS) เพื่อให้เกิดการยกกระชับจากภายใน นอกจากนี้ Ulthera ยังได้รับการรับรองจาก FDA ให้ใช้ลดเลือนริ้วรอยลึกบริเวณเนินอกได้โดยตรง
- Thermage: เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวเหี่ยวย่น (crepey skin) และริ้วรอยตื้นๆ หรือริ้วรอยในแนวนอนบริเวณลำคอและเนินอก โดยจะช่วยให้ผิวโดยรวมเรียบเนียนและแน่นขึ้น
สำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดีที่สุดทั้งในด้านการยกกระชับและปรับสภาพผิว แพทย์มักแนะนำให้ทำสองอย่างร่วมกัน
6. เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายและราคาของ Ulthera กับ Thermage
ปัจจัยที่กำหนดราคาของแต่ละหัตถการ
ปัจจัยหลักที่กำหนดราคาของหัตถการคือขนาดของพื้นที่ที่ทำการรักษา ความเชี่ยวชาญของผู้ให้บริการ ที่ตั้งของคลินิก และรุ่นของเครื่องมือที่ใช้ โดยปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อราคารวมถึง:
- ภูมิศาสตร์และที่ตั้งคลินิก: ราคาแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละประเทศและเมือง เช่น ราคาในสหรัฐอเมริกาหรือยุโรปจะสูงกว่าในเกาหลีใต้หรือไทย
- ความเชี่ยวชาญของผู้ให้บริการ: แพทย์ผิวหนังหรือศัลยแพทย์ตกแต่งที่มีชื่อเสียงอาจคิดค่าบริการสูงกว่า
- ขนาดพื้นที่และพลังงานที่ใช้: การรักษาพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น ทั่วใบหน้าและลำคอ จะมีราคาสูงกว่าพื้นที่เล็กๆ เช่น การยกคิ้ว
- รุ่นและความแท้ของเครื่องมือ: เครื่องรุ่นใหม่ล่าสุดและเป็นของแท้ (เช่น Thermage FLX) มีต้นทุนสูงกว่า ซึ่งสะท้อนในราคาค่าบริการ
- บริการเพิ่มเติมและโปรโมชั่น: ราคาอาจรวมหรือไม่รวมค่าปรึกษา ยาชา หรือการติดตามผล และคลินิกอาจมีแพ็กเกจส่วนลดสำหรับการทำหลายพื้นที่พร้อมกัน
ราคาเฉลี่ยต่อครั้งของ Ulthera เป็นเท่าไหร่?
ราคาเฉลี่ยต่อครั้งของ Ulthera แตกต่างกันอย่างมาก ขึ้นอยู่กับประเทศ พื้นที่ที่ทำการรักษา และชื่อเสียงของคลินิก โดยทั่วไป การรักษาเฉพาะจุดเล็กๆ เช่น การยกคิ้ว จะมีราคาถูกกว่าการทำทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ
ตัวอย่างช่วงราคาโดยประมาณในประเทศต่างๆ มีดังนี้:
- สหรัฐอเมริกา: การทำทั่วใบหน้าและลำคออาจมีค่าใช้จ่ายประมาณ 3,000–5,000 ดอลลาร์สหรัฐ
- เกาหลีใต้: มีราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า โดยการทำทั่วใบหน้าและลำคอมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,500–2,500 ดอลลาร์สหรัฐ
- เยอรมนี: การทำทั่วใบหน้ามักมีราคาประมาณ 1,500–2,500 ยูโร
- ญี่ปุ่น: ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 200,000–400,000 เยน (ประมาณ 1,500–3,000 ดอลลาร์สหรัฐ)
- จีน: ราคาอยู่ในช่วง 10,000–30,000 หยวน (ประมาณ 1,400–4,200 ดอลลาร์สหรัฐ)
- ไทย: ราคาอยู่ในช่วง 100,000 – 180,000 บาท (โดยทั่วไปบริการของทางแพทย์จะดีกว่า)
ราคาเฉลี่ยต่อครั้งของ Thermage เป็นเท่าไหร่?
ราคาเฉลี่ยต่อครั้งของ Thermage แตกต่างกันอย่างมากในแต่ละประเทศและพื้นที่ที่ทำการรักษา โดยทั่วไปมีราคาตั้งแต่ 1,000 ถึง 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 36,500 – 182,500 บาท) หรือสูงกว่านั้น
ราคาจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ที่ตั้งของคลินิก ชื่อเสียงของผู้ให้บริการ และขนาดของพื้นที่ที่รักษา ตัวอย่างราคาสำหรับทั่วใบหน้าในแต่ละประเทศมีดังนี้:
- สหรัฐอเมริกา: ประมาณ 2,000–4,000 ดอลลาร์สหรัฐ
- เกาหลีใต้: ประมาณ 1,000–2,200 ดอลลาร์สหรัฐ
- เยอรมนี: ประมาณ 3,000–3,500 ยูโร
- ญี่ปุ่น: ประมาณ 700–2,100 ดอลลาร์สหรัฐ
- จีน: ประมาณ 2,200–2,900 ดอลลาร์สหรัฐ
- ไทย: ราคาอยู่ในช่วง 70,000 – 140,000 บาท
7. สามารถทำ Ulthera กับ Thermage ร่วมกันได้หรือไม่?
สามารถทำ Ulthera และ Thermage ร่วมกันได้ และเป็นที่นิยมอย่างมากเพื่อผลลัพธ์การฟื้นฟูผิวที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น
การทำสองอย่างร่วมกันให้ผลลัพธ์ที่ส่งเสริมกัน โดย Ulthera จะเน้นการยกกระชับโครงสร้างผิวชั้นลึก (SMAS) เพื่อให้ใบหน้าคมชัดและได้รูปทรง ส่วน Thermage จะช่วยปรับปรุงคุณภาพผิวชั้นบน ทำให้ผิวเรียบเนียน ลดริ้วรอย และกระชับผิวโดยรวม คลินิกหลายแห่งสามารถทำทั้งสองหัตถการได้ในวันเดียวกันเพื่อความสะดวกของผู้รับบริการ
ข้อดีของการทำสองหัตถการร่วมกัน
ข้อดีหลักของการทำ Ulthera และ Thermage ร่วมกันคือการได้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมและส่งเสริมกัน ทำให้สามารถจัดการกับปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อยได้หลายมิติพร้อมกัน
การทำสองหัตถการร่วมกันมีข้อดีดังนี้
- การยกกระชับและปรับสภาพผิว: Ulthera ทำหน้าที่ยกกระชับโครงสร้างผิวชั้นลึก (SMAS) เปรียบเสมือนการสร้างโครงสร้างที่แข็งแรง ในขณะที่ Thermage ช่วยกระชับผิวชั้นบนให้เรียบเนียนและแน่นขึ้น
- ผลลัพธ์ที่ชัดเจนกว่า: การทำงานร่วมกันของสองเทคโนโลยีให้ผลลัพธ์ด้านการยกกระชับและความตึงของผิวที่ดีกว่าการทำหัตถการอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว
- เห็นผลเร็วและต่อเนื่อง: ผู้ป่วยมักจะรู้สึกว่าผิวกระชับขึ้นทันทีหลังทำ Thermage และผลลัพธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการสร้างคอลลาเจนใหม่ของทั้งสองหัตถการในระยะยาว
ลำดับและระยะห่างที่เหมาะสมในการทำ
โดยทั่วไปแล้ว สามารถทำ Ulthera และ Thermage ในวันเดียวกันได้เลย โดยลำดับที่แนะนำคือการทำ Ulthera ก่อนแล้วตามด้วย Thermage
เหตุผลที่แนะนำให้ทำ Ulthera ก่อน เพราะต้องใช้เจลและการสร้างภาพแบบเรียลไทม์บนผิวที่สะอาด ส่วน Thermage สามารถทำบนผิวที่ทายาชาไว้แล้วได้ในลำดับถัดไป อย่างไรก็ตาม หากไม่สะดวกทำในวันเดียวกัน สามารถเว้นระยะห่างได้ โดยทั่วไปแนะนำให้เว้นช่วงประมาณ 2-3 สัปดาห์ไปจนถึง 2-3 เดือน ซึ่งเป็นเรื่องของความสะดวกและการประเมินผลเบื้องต้นมากกว่าข้อบังคับทางการแพทย์
References
Peer-Reviewed & Academic Sources
- Park, J.Y., Hong, W., Lee, K.C., Shim, H.C., & Kim, H.J. Customizing MFU-V Treatment for Facial Lifting in Asian Men: Experience and Practical Insights from Korea. Journal of Cosmetic Dermatology. Wiley. https://onlinelibrary.wiley.com
- Biskanaki, F., Tertipi, N., Sfyri, E., Kefala, V., & Rallis, E. Complications and Risks of High-Intensity Focused Ultrasound (HIFU) in Esthetic Procedures: A Review. Applied Sciences, 15, 4958. MDPI. https://www.mdpi.com
- Kim, J.S. Comparative Three-Dimensional Analysis of Facial Lifting across Five Aesthetic Units following 115-W 6.78-MHz Monopolar RF Therapy. Plastic & Reconstructive Surgery – Global Open, 12:e6137. Wolters Kluwer Health. https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov
Manufacturer & Technical / Clinical Guidelines
- Merz Aesthetics. (n.d.). Ultherapy Overview. https://www.ultherapy.com
- Laurent, C. Thermage: A Revolutionary Choice for Scientific Anti-Aging (Comprehensive Guide – principles, effects, risks). MME Medispa. https://mmedispa.com